นักวิเคราะห์ส่องหุ้นได้ประโยชน์-เสียประโยชน์ หลัง "โดนัลด์ ทรัมป์" คว้าชัยขึ้นแท่น "ประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 45" ชี้กลุ่มถ่านหินได้อานิสงส์ ธุรกิจน้ำมันเสี่ยง คาดตลาดหุ้นผันผวนระยะสั้นในกรอบ 1,470-1,520 จุด ฟาก "บล.เคทีบี" ฉายภาพ 4 นโยบายสำคัญของทรัมป์เขย่าตลาดทุนไทย
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ทิศทางตลาดหุ้นไทยหลังนายโดนัลด์ ทรัมป์ ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีสหรัฐน่าจะปรับตัวผันผวนเพียงระยะสั้น ๆ โดยดัชนีจะแกว่งตัวในกรอบ 1,470-1,520 จุด ทั้งนี้ บริษัทได้คัดเลือกกลุ่มอุตสาหกรรมที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากนโยบายหาเสียงของนายทรัมป์ และหุ้นที่คาดว่าจะเสียประโยชน์หลังจากนายทรัมป์ขึ้นรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 45
สำหรับกลุ่มหุ้นที่ได้ประโยชน์อันดับแรกคือ กลุ่มธุรกิจถ่านหิน เนื่องจากทรัมป์มีนโยบายการส่งเสริมให้สหรัฐใช้พลังงานจากถ่านหินมากขึ้น เพราะมีราคาที่ค่อนข้างถูก ซึ่งปัจจุบันทิศทางราคาถ่านหินก็ปรับตัวสูงขึ้นอยู่แล้วจากนโยบายของจีนที่คุมเข้มการทำเหมืองถ่านหินในจีน และหากนายทรัมป์ส่งเสริมให้สหรัฐมีการใช้ถ่านหินมากขึ้นได้จริง ก็คาดว่าจะผลักดันให้ราคาถ่านหินเด้งสูงขึ้น ซึ่งหุ้นที่โดดเด่นในกลุ่มถ่านหินและคาดว่าจะได้รับอานิสงส์ดังกล่าวคือ บมจ.บ้านปู (BANPU)
ถัดมาคือกลุ่มส่งออก อาทิ กลุ่มอาหารและชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ทั้งนี้กลุ่มดังกล่าวคาดว่าจะได้รับอานิสงส์จากปัจจัยเรื่องค่าเงิน เนื่องจากมีแนวโน้มที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐจะแข็งค่าขึ้น เพราะหนึ่งมาจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีน้ำหนักการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมช่วงเดือน ธ.ค.ปีนี้ และสองประกอบกับนโยบายของนายทรัมป์ที่ต้องการลดภาษีในประเทศ เพื่อจูงใจให้มีการกลับเข้าไปลงทุนสหรัฐมากขึ้น ซึ่งนโยบายนี้น่าจะหนุนให้เม็ดเงินที่จะออกไปลงทุนและเคยออกไปลงทุนในต่างประเทศให้กลับเข้ามาในสหรัฐมากขึ้น สนับสนุนค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นได้
ขณะเดียวกัน กลุ่มหุ้นที่คาดว่าจะเสียประโยชน์จากนโยบายของนายทรัมป์ ได้แก่ กลุ่มธุรกิจน้ำมัน เนื่องจากราคาน้ำมันจะมีความผันผวนมากขึ้น จากนโยบายส่งเสริมการใช้ถ่านหินและจะเพิ่มการขุดเจาะแหล่งน้ำมันในสหรัฐมากขึ้น ซึ่งน่าจะกระทบต่อราคาน้ำมันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นอกจากนี้การลงทุนในน้ำมันยังถือเป็นสินทรัพย์เสี่ยง ซึ่งคาดว่าจะได้รับผลกระทบจากกรณีที่คาดว่านักลงทุนจะหันกลับไปถือครองสินทรัพย์ที่มั่นคงมากขึ้น
"ผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยยังไม่ชัดเจนว่าจะมีหรือไม่ ขณะที่ในวันที่ 14 พ.ย.นี้ดัชนี MSCI จะทบทวนดัชนีรอบครึ่งปีใหม่ ซึ่งคาดว่าจะให้น้ำหนักหุ้นไทยมากขึ้น รวมถึงน่าจะเห็นเม็ดเงินจากกองทุนเปิดหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) มากขึ้น ซึ่งช่วงท้ายปีเป็นจังหวะที่จำเป็นจะต้องซื้อแล้ว" นายอภิชาติกล่าว
นายมงคล พ่วงเภตรา ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์และกลยุทธ์การลงทุน บล.เคทีบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ช่วงที่ผ่านมานายทรัมป์ได้หาเสียงโดยเน้นเรื่องการสร้างงาน การส่งเสริมให้มีการลงทุนในประเทศมากขึ้น และไม่สนับสนุนฐานการผลิตต่างประเทศ รวมถึงนโยบายสุดโต่งอย่างเพิ่มการกีดกันทางการค้า ซึ่งหากเกิดขึ้นจริง ก็เชื่อว่าจะกระทบต่ออุตสาหกรรมและหุ้นไทย อาทิ นโยบายกีดกันการค้า จะเป็นผลลบต่อกลุ่มชิปปิ้งกลุ่มปิโตรเคมี หรือหุ้น บมจ.บริษัท น้ำมันพืชไทย จำกัด (TVO), บมจ.อมตะ วีเอ็น (AMATAV) เป็นต้น
"ที่สำคัญคือต้องรอดูว่านโยบายที่ทรัมป์ใช้หาเสียงจะสามารถนำมาใช้จริงได้มากน้อยเพียงใด" นายมงคลกล่าว