เปิดลิสต์ 10 หุ้นสุดฮอต !
รับผลบวกธีม “Summer Play”

.
ฤดูร้อนนอกจากจะเป็นช่วงไฮซีซั่นของหุ้นกลุ่มเครื่องดื่มแล้ว ยังส่งผลดีต่อหุ้นในกลุ่มอาหาร กลุ่มค้าปลีก ตลอดจนสินค้าอุปโภคและบริโภคต่างๆ ด้วย เพราะเป็นช่วงที่มีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการค้าขาย รวมถึงเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งช่วยกระตุ้นเม็ดเงินและการบริโภคภายในประเทศให้ขยายตัว วันนี้ Wealthy Thai จึงมีโผหุ้นธีม Summer Play ที่คาดว่าราคาหุ้นจะเคลื่อนไหวเชิงบวกมาฝาก
.
โดยนักวิเคราะห์บล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุว่า ตามปกติแล้วประเทศไทยมักเริ่มเข้าสู่ฤดูร้อนตั้งแต่ 1 มี.ค. และในช่วงปีนี้มีโอกาสที่ประเทศไทยจะเข้าอยู่ในสภาวะเอลนีโญ (แห้งแล้งและร้อนกว่าปกติ) ซึ่งเชื่อว่าน่าจะสร้างโอกาสเห็น Upside โดยหุ้นที่คาดว่าจะได้ประโยชน์ในปี 2566 ได้แก่ กลุ่มเครื่องดื่ม ค้าปลีก ห้างสรรพสินค้า และก่อสร้าง คือ CBG, ICHI, OSP, MINT, CENTEL, GLOBAL, CPALL, CRC, SAPPE และ STEC
.
ทั้งนี้จากการสำรวจผลตอบแทนของหุ้นธีม Summer Play ย้อนหลัง 5 ปี พบว่า หุ้นมักเคลื่อนไหวดีช่วง 1 สัปดาห์ก่อนเข้าฤดูร้อน โดยมีความเป็นไปได้ 60% ที่จะให้ผลตอบแทนเป็นบวกระหว่าง 5.0%-2.3%, ส่วนช่วง 2 สัปดาห์ มีความเป็นไปได้ 60% ที่จะให้ผลตอบแทนเป็นบวกระหว่าง 5.6%-3.1%, ขณะที่ 1 เดือน มีความเป็นไปได้ 60% ที่จะให้ผลตอบแทนเป็นบวกระหว่าง 14%-3.3% และช่วง 2 เดือนหลังเข้าสู่ฤดูร้อน มีความเป็นไปได้ 60% ที่จะให้ผลตอบแทนเป็นบวกระหว่าง 9.6-3.8%
.
สำหรับแนวโน้มการเติบโตของหุ้นแต่ละตัวนั้น OSP บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ระบุว่า ยังคงประมาณการกำไรปี 2566 ไว้ที่ 2,862 ล้านบาท โต 48.0% จากปีก่อน ซึ่งมีโอกาสปรับประมาณการขึ้นได้ เนื่องจากต้นทุนการผลิตมีแนวโน้มลดลง และส่วนแบ่งการตลาด มีโอกาสกลับมาได้แร็วกว่าที่คาด และที่ประมาณการของฝ่ายวิเคราะห์ยังต่ำกว่าเป้าหมายกำไรสุทธิของบริษัทที่ 3,000 ล้านบาท ขึ้นไป คงคำแนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 32.50 บาท มีโอกาสปรับขึ้นเป็น 35 – 38.00 บาท
.
ถัดมา CBG บล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุว่า ปี 2566 มองภาพฟื้นตัวชัดเจนและเติบโตต่อจากยอดขายต่างประเทศ กัมพูชา ที่ยอดกลับมาใกล้ช่วง pre-covid กับจีนก็มีการผ่อนคลายมาตรการโควิด-19 ด้านเวียดนามมีแผนเชิงรุก หวังสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น ด้านยอดขายในประเทศจะเติบโตจากยอดขาย 3rd party distribution กลับมาเติบโตเด่นจากโซจูที่เริ่มกลับมารุกทำตลาดมากขึ้น และคาดหวังเพิ่ม Mkt. share ของผลิตภัณฑ์ใหม่ Kanzou x2 ขณะที่ต้นทุนวัตถุดิบผ่อนลงคาดอัตรากำไรผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว คาดกำไรสุทธิปีนี้ที่ 3,469.57 ล้านบาท โต 27.19% คงคําแนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 111 บาท
.
ICHI บล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุว่า ปัจจัยพื้นฐานเริ่มดีขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 3/65 จากตลาดชาเขียวกลับมาโต พร้อมกับกลยุทธ์คงราคาที่ได้ผลตอบรับดี รวมถึงสินค้าใหม่ “ตันซันซู” ที่กระแสแรงสุดในรอบ 7 ปีของสินค้าใหม่ ผสานโครงสร้างเศรษฐกิจทยอยฟื้นตัวและต้นทุนวัตถุดิบทยอยปรับลง จะส่งผลบวกต่อทั้งรายได้และอัตรากำไร โดยคาดกำไรไตรมาส 4/65 ที่ 187 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 41% จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน แต่ลดลง 3% จากไตรมาสก่อนหน้า เป็นจุดที่ดีมาก และคาดเติบโตแรงไปจนถึงไตรมาส 2/66 และคงกำไรปี 2566 ที่ 723 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% จากปีก่อน แนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 15.6 บาท
.
SAPPE บล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุว่า ธุรกิจเห็นจุดเปลี่ยนเชิงบวกชัดเจน ผ่านเป้า 5 ปีนี้เติบโต 3 เท่า (CAGR 22%) จากตลาดต่างประเทศอยู่ในจุดเร่งตัว โดยเร่งจุดจำหน่ายทั้งเอเชีย, ยุโรป, สหรัฐฯ ประเมินกำไรปี 2565-2566 ที่ 654 ล้านบาท เติบโต 56% และ 760 ล้านบาท โตที่ 22% ตามลำดับ จากยอดขายต่างประเทศที่โตแรง แนวโน้มไตรมาส 1/66 – 3/66 จะกลับสู่จุดที่ดีมาก
โดยบริษัทเตรียมเพิ่มกำลังการผลิตระดับ 30% โดยตั้งแต่ต้นปี 2566 สะท้อนแนวโน้มยอดขายระดับสูงในต่างประเทศ และเป็นกลุ่ม High margin สนับสนุนทั้งยอดขายและอัตรากำไร คงคำแนะนำ ซื้อ ปรับเพิ่มราคาเป้าหมายเป็น 64 บาท
.
CPALL บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) ระบุว่า ธุรกิจร้านเซเว่นฯ มีแนวโน้มการเติบโตโดดเด่น รวมทั้งผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของแม็คโครและการฟื้นตัวของโลตัส ซึ่งล้วนเป็นผู้นำในกลุ่มธุรกิจค้าปลีกค้าส่งในประเทศไทยที่ได้ผลบวกโดยตรงจากการฟื้นตัวของการบริโภคและการท่องเที่ยว คาดการณ์กำไรไตรมาส 4/65 ที่ 4.11 พันล้านบาท ลดลง 39% จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน เนื่องจากมีกำไรพิเศษจากการแลกหุ้น MAKRO ในปี 2564
.
ขณะเดียวกันปรับลดประมาณการกำไรปี 2566-2567 ลง 15% และ 9% สะท้อนค่าใช้จ่ายและค่าไฟสูงขึ้น แต่คาดว่ากำไรยังเติบโตแข็งแกร่ง โดยปี 2566 คาดกำไรที่ 17,536 ล้านบาท โต 21% และปี 2567 ที่ 21,551 ล้านบาท โต 23% แนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 79 บาท
.
CRC บล.พาย ระบุว่า ประเมินเป้าหมายการเติบโตของรายได้ปี 2566 เป็นเป้าที่ค่อนไปในเชิงรุก หากดูจากประมาณการ GDP ของไทย เวียดนาม และอิตาลีในปีนี้ที่ 3.7%, 6.2% และ 0.1% ตามลำดับอิงประมาณการ Bloomberg consensus
.
ทั้งนี้ธุรกิจแฟชั่นในอิตาลีฟื้นตัวเต็มที่แล้วในปี 2565 ขณะที่ยังตั้งเป้าขยายตัวแข็งแกร่งในปีนี้ โดยฝ่ายวิเคราะห์ประเมินอย่างรัดกุมว่ายอดขายจะโต 7% จากปีก่อน หนุนจากการเติบโตของรายได้ในธุรกิจค้าปลีกอาหารที่ 8% ธุรกิจฮาร์ดไลน์ที่ 7% และธุรกิจแฟชั่นที่ 4% คาดการณ์กำไรปี 2566 ที่ 8,248 ล้านบาท โต 36.24% ให้คำแนะนำ ซื้อ มูลค่าพื้นฐานที่ 49 บาท
.
CENTEL บล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุว่า แนวโน้มกําไรไตรมาส 1/66 ดี โดยคาดโตต่อทั้งจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนและไตรมาสก่อนหน้า จาก Maldives เข้าสู่ peak season, โรงแรมไทยในตจว. ฟื้นตัว, ขณะที่ผลการดําเนินของโรงแรมในกรุงเทพยังคงอยู่ในระดับสูง ฝ่ายวิเคราะห์คงกําไรสุทธิปี 2566-2567 ที่ 1,752 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 789% และ 2,378 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 36% ตามลำดับ
.
โดยโรงแรมในไทยยังคงเป็น key growth driver ตามนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น คงแนะนํา ซื้อเก็งกำไร ราคาเป้าหมาย 55 บาท แต่แนะนํา ซื้อเมื่ออ่อนตัว หลังราคาปรับขึ้นสะท้อนแนวโน้มกําไรไตรมาส 4/65 ถึงไตรมาส 1/66 ที่ฟื้นตัวไปแล้ว ทั้งนี้ หาก RevPar หรือ SSSG เพิ่มอย่างมีนัยสำคัญหลังจีนเปิดประเทศจะเป็นโอกาสเข้าซื้ออีกครั้ง
.
MINT บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ระบุว่า ประเมินแนวโน้มไตรมาส 1/66 คาดกำไรปกติฟื้นตัวเด่นจากไตรมาสเดียวกันปีก่อนจากฐานต่ำ ขณะที่หากเทียบกับไตรมาสก่อนหน้ากำไรปกติอาจชะลอตัวลงเล็กน้อย เพราะการเข้าสู่ช่วง Low Season ของโรงแรมยุโรปเต็มตัว ปรับประมาณการปี 2566 ขึ้นเป็นคาดกำไรปกติ 5,548 ล้านบาท โต 29.44%
.
อย่างไรก็ตาม จากแรงกดดันของปัจจัยมหภาคและต้นทุนราคาพลังงานที่ลดลง ฝ่ายวิเคราะห์ปรับ EV/EBTIDA Multiple ขึ้นเป็นเทียบเท่าค่าเฉลี่ยในอดีต และคงคำแนะนำ ซื้อ อิงราคาเหมาะสมสิ้นปี 2566 ที่ 41 บาทต่อหุ้น จากพัฒนาการด้านต้นทุนที่ดีขึ้นมีโอกาสทำให้ราคาหุ้นฟื้นตัวต่อไม่ยาก
.
STEC บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ระบุว่า STEC ยังคงเป็น 1 ในผู้รับเหมารายใหญ่ที่มีโอกาสดีต่อการประมูลโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ ฝ่ายวิเคราะห์คาดว่าหลังการเมืองมีความชัดเจน และงานประมูลมูลค่าสูงที่เริ่มเห็นกรอบเวลาโครงการที่คาดหมาย เช่น รถไฟฟ้าสายสีแดงส่วนต่อขยาย รถไฟทางคู่เฟส 2 และ งานสนามบินจะช่วยเพิ่มงานในมือระหว่างปี 2566-2567 โดยคาดผลประกอบการของ STEC จะค่อยๆ เห็นการฟื้นตัว ประเมินกำไรปกติปี 2566 ที่ 923 ล้านบาท โต 33% จากปีก่อน ปัจจุบันบริษัทซื้อขายในระดับต่ำเมื่อเทียบกับกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง แนะนำ ซื้อ ราคาเหมาะสม ปี 2566 ที่ 15 บาท
.
และสุดท้าย GLOBAL บล.บัวหลวง ระบุว่า ปรับลดประมาณการกำไรปี 2566 และ 2567 ลง 9% มาอยู่ที่ 3,863 ล้านบาท และ 4,321 ล้านบาท ตามลำดับ เนื่องจากคาดการณ์ยอดขายปรับตัวลดลง โดยเฉพาะในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 รวมทั้งปรับลดสมมติฐานอัตรากำไรขั้นต้นและค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่สูงขึ้น ทั้งนี้ แม้ฝ่ายวิเคราะห์ปรับลดประมาณการกำไรลง แต่เชื่อว่าไตรมาส 4/65 จะเป็นไตรมาสที่ต่ำที่สุดของบริษัท จากที่ปกติไตรมาสแรกของปีจะเป็นฤดูกาลสำหรับการสร้างบ้านในต่างจังหวัด
.
ดังนั้นจึงคาดว่ากำไรไตรมาส 1/66 จะฟื้นตัวจากไตรมาส 4/65 แต่ลดลงจากไตรมาส 1/64 นอกจากนี้ การเปิดสาขาใหม่เพิ่มอีก 7 สาขาในปีนี้จะหนุนการเติบโตของยอดขายและกำไรหลัก ประเมินการเติบโตจะน่าตื่นเต้นขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 ให้คำแนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 22 บาท