ห้องเม่าปีกเหล็ก

แจก 8 หุ้นเด่นรับผลบวก เมื่อน้ำมันกำลังเป็นขาขึ้น

โดย dave
เผยแพร่ :
69 views

แจก 8 หุ้นเด่นรับผลบวก เมื่อน้ำมันกำลังเป็นขาขึ้น

ราคาน้ำมันยังปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์พุ่งขึ้นเหนือระดับ 60 ดอลลาร์/บาร์เรลเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 1 ปี โดยได้รับอานิสงส์จากประเด็นความคืบหน้าในการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐ รวมทั้งการปรับลดกำลังการผลิตของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัสอีกด้วย


ล่าสุดหน่วยธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ได้ออกมาประเมินว่า สัปดาห์นี้คาดการณ์ว่าราคาน้ำมันดิบเบรนท์จะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 57.5  – 62.5 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล โดยได้รับปัจจัยหนุนจากความคืบหน้าในการพัฒนาวัคซีน COVID-19 ล่าสุด The Lancet international วารสารทางการแพทย์ของรัสเซีย รายงาน วัคซีน Sputnik V มีประสิทธิภาพในการป้องกัน COVID-19 อยู่ที่ 92% ของการทดลองในระยะที่ 3  ประกอบกับนักลงทุนในตลาดยังมีความหวังเกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อบรรเทาผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อ COVID-19 ของ


ด้านประธานาธิบดีสหรัฐฯ นาย Joe Biden กับวงเงินกว่า 1.9 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ว่าจะช่วยให้เกิดการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและทำให้ความต้องการใช้น้ำมันเพิ่มขึ้น ล่าสุดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจดังกล่าวอยู่ระหว่างผลักดันของประธานาธิบดี Biden ซึ่งพยายามอย่างยิ่งโดยการใช้ขั้นตอน “Reconciliation” ซึ่งจะทำให้สมาชิกวุฒิสภาสหรัฐฯ สามารถออกกฎหมายเกี่ยวกับภาษี การใช้จ่าย และวงเงินที่เกี่ยวกับหนี้ได้โดยการชนะเสียงข้างมาก (51 เสียง) จากเดิมต้องได้ 60 เสียงจากทั้งหมด 100 เสียง จึงจะสามารถผ่านกฎหมายดังกล่าว


จากราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นผลดีกับหุ้นพลังงานอย่างมาก ทั้งธุรกิจต้นน้ำ รวมทั้งธุรกิจโรงกลั่น จนมีแรงซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง  โดยนักวเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) บอกว่า ประเด็นราคาน้ำมันดิบดูไบขยับเพิ่มขึ้น รวมทั้งค่าการกลั่น (GRM) ในตลาดสิงคโปร์เพิ่มขึ้นเช่นกัน เนื่องจาก spread ของผลิตภัณฑ์จากการกลั่นเพิ่มขึ้นทุกตัว จึงยังเลือก TOP, ESSO และSPRC เป็นหุ้นเด่นของกลุ่มพลังงานในปี 2564


ทั้งนี้ในปี 2564 ประเมินว่า TOP จะรายงานกำไรสุทธิที่ 8.5 พันล้านบาท พลิกจากคาดการณ์ปี 2563 คาดขาดทุนอยู่ที่ระดับ 4.3 พันล้านบาท ส่วน ESSO คาดจะรายงานกำไรสุทธิที่ 3.6 พันล้านบาท พลิกจากคาดการณ์ปี 2563 คาดขาดทุนอยู่ที่ระดับ 8 พันล้านบาท และSPRC คาดจะรายงานกำไรสุทธิที่ 3.7 พันล้านบาท พลิกจากคาดการณ์ปี 2563 คาดขาดทุนอยู่ที่ 6.3 พันล้านบาท


ขณะที่นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ยังคงแนะนำ Bullish กลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี โดยคงมุมมองปี 2564 เป็นปีแห่งการฟื้นตัวของกลุ่ม จาก 1.ไม่มี stock loss ก้อนใหญ่ฉุด จากราคา น้ำมัน ดิบฟื้นตัว 2.อัตรากำไรกลุ่มที่ฟื้นตาม spread ปิโตรเลียม จากระดับคลัง น้ำมัน ทั่วโลกค่อยๆกลับสู่ระดับปกติ โดยเฉพาะใน U.S./ Middle east/ Asia


3.spread ปิโตรเคมีฟื้นตัวจากแรงกดดันของ oversupply ลดลงหลัง demand ทั่วโลกฟื้นตามเศรษฐกิจ และ 4.การปิดซ่อมของโรงก๊าซฯ โรงกลั่น และโรงปิโตรเคมีในกลุ่มลดลง ส่งให้คาดกำไรปกติกลุ่มในปี 2564 เติบโต 164% จากปี 2563 โดยคง top pick เป็นกลุ่มต้นน้ำ ที่ได้ประโยชน์จาก น้ำมัน ดิบฟื้นตัวเร็วสุด


ด้านนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า เราคงน้ำหนักการลงทุน เท่ากับตลาด เลือกลงทุนหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของราคา น้ำมัน  และผลประกอบการมีปัจจัยการเติบโตชัดเจนในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2564 ชอบ 1.PTTGC แนะนำ ซื้อ ราคาเหมาะสม 67.00 บาท จากอัตรากำไรธุรกิจ Olefin gas-based ที่สูงขึ้นตามราคา น้ำมัน , โรงงานใหม่เริ่มผลิต, ไม่มีปิดซ่อมบำรุงใหญ่ช่วง ครึ่งปีแรกของปี 2564, และฐานะการเงิน - กระแสเงินสดมั่นคง สามารถจ่ายปันผลได้ โดยประเมินกำไรปกติปี 2564 อยู่ที่ 12,866 ล้านบาท เติบโต 193.5% จากปี 2563


2.PTT แนะนำ ซื้อ ราคาเหมาะสม 47.00 บาท จากอัตรากำไรธุรกิจก๊าซที่สูงขึ้นตามราคา น้ำมัน เตา - ราคาปิโตรเคมี, ไม่มีปิดซ่อมบำรุงใหญ่, อุปสงค์ก๊าซฟื้นตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน, และราคาหุ้น Laggard เพราะที่ผ่านมาถูกกดดันจากการปรับพอร์ตก่อน IPO หุ้น OR โดยประเมินกำไรปกติปี 2564 อยู่ที่ 82,095 ล้านบาท เติบโต 96.7% จากปี 2563


3.BCP แนะนำ ซื้อ ราคาเหมาะสม 31.00 บาท จากทิศทางกำไรฟื้นตัวอย่างมีเสถียรภาพหลังผ่านการปิดซ่อมบำรุงใหญ่  อัพเกรดโรงกลั่นในไตรมาส 1/64, พันธมิตรร้านสะดวกซื้อรายใหม่, Portfolio สมดุลด้วยธุรกิจสีเขียว - เทคโนโลยีพลังงาน, และราคาปัจจุบันมี Valuation ยังไม่แพง โดยประเมินกำไรปกติปี 2564 อยู่ที่ 2,010 ล้านบาท จากปี 2563 คาดขาดทุน 270 ล้านบาท


ขณะที่ธุรกิจต้นน้ำอย่าง PTTEP นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ระบุว่า มีมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มธุรกิจของ  PTTEP  จากราคาน้ำมันดิบที่ทรงตัวระดับสูง และปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นทั้งจากแหล่งผลิตเดิมและการทำ M&A   อย่างไรก็ตาม ก็มองว่าตลาดยังคงกังวลต่อสถานการณ์ที่  PTTEP  ยังไม่สามารถเข้าพื้นที่ G1/61 (แหล่งเอราวัณ) เนื่องจากการเจรจาระหว่างเชฟรอนกับภาครัฐยังไม่ได้ข้อยุติ ซึ่งหากล่าช้าออกไปก็จะกระทบต่อแผนการผลิตที่คาดจะเริ่มในกลางปีหน้า ทำให้ในเชิงกลยุทธ์ ยังแนะนำ ซื้อเมื่ออ่อนตัว ด้วยราคาเป้าหมายเดิม 105 บาท


โดยสถานการณ์ตลาดน้ำมันดิบเป็นบวกมากขึ้น ซึ่ง PTTEP  มองว่าสถานการณ์ตลาดน้ำมันดิบเป็นบวกมากขึ้นในปีนี้จากอุปสงค์เพิ่มขึ้น 4-5 ล้านบาร์เรล/วัน ตามการฟื้นตัวของภาคอุตสาหกรรมและผ่อนคลายการล็อคดาวน์ ขณะเดียวกัน อุปทานน้ำมันดิบยังคงถูกควบคุมโดยกลุ่ม OPEC+ ด้วยการลดการผลิตลง ทำให้คาดราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยในปีนี้จะอยู่ที่ $50/บาร์เรล เพิ่มจาก $42 ในปีก่อน  


ทางด้านตลาด LNG ก็คาดว่าความต้องการจะเติบโตมาที่ 375 ล้านตัน/ปี เพิ่มขึ้น 3.6%จากปีก่อนแต่ก็ยังเพิ่มน้อยกว่าอุปทานที่คาด เพิ่มขึ้น 6% ซึ่งจะจำกัดการปรับขึ้นแรงของราคา LNG หลังจากช่วงที่ผ่านมาได้ผลบวกจากอากาศหนาวผิดปกติ ทำให้ความต้องการก๊าซสูงขึ้น และการหยุดผลิตในหลายโครงการ   อย่างไรก็ตาม แนวโน้มอุปทานของ LNG ในระยะกลาง/ยาวจะโตช้ากว่าอุปสงค์ ซึ่งคาดเป็นแรงหนุนสำคัญให้ราคา LNG น่าจะปรับขึ้นได้ในอนาคต ดังนั้นประเมินว่าปี 2564 จะรายงานกำไรสุทธิ 25,559 ล้านบาท เติบโต 12.77% จากปี 2563 ที่คาดจะอยู่ที่ 22,664 ล้านบาท


ด้าน IRPC โดยนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ระบุว่า ขณะนี้ปรับเพิ่มประมาณการตั้งแต่ปี 2564 สะท้อน spread ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีที่ดีกว่าคาดทั้ง PP, AB และ PS ส่งผลให้สมมติฐาน Market GIM เพิ่มขึ้นมาอยู่ราว 11.5 เหรียญฯต่อบาร์เรล และปรับลดสมมติฐานต้นทุนต่อหน่วยเหลือ 10 เหรียญฯต่อบาร์เรล ทำให้แนวโน้มผลการดำเนินงานปี 2564 จะพลิกกลับเป็นกำไรสุทธิได้ที่ราว 2.2 พันล้านบาท จากปี 2563 คาดขาดทุนสุทธิ  6.1 พันล้านบาท ส่วนทิศทางกำไรปกติ ไตรมาส1/64 คาดจะเห็นการฟื้นตัวต่อเนื่องจากไตรมาส 4/63 ในลักษณะค่อยเป็นค่อยไป รับอานิสงค์หลักจากธุรกิจปิโตรเคมีที่ spread ผลิตภัณฑ์ ยังอยู่ในระดับสูง

 

ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก


dave