ห้องเม่าปีกเหล็ก

อัลไซเมอร์ รักแล้ว (ทำอย่างไร) ไม่ลืมกัน

โดย หญิงแม้น
เผยแพร่ :
66 views

อัลไซเมอร์ รักแล้ว (ทำอย่างไร) ไม่ลืมกัน

กระทรวงสาธารณสุขเผย ในปี 2573 ประเทศไทยจะมีผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์ประมาณ 1,117,000 คน ซึ่งเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวจากปี 2558 ที่มีอยู่ประมาณ 600,000 คน ขณะที่ทั่วโลกทุกๆ 68 วินาที จะมีผู้ป่วยด้วยโรคอัลไซเมอร์เพิ่มขึ้นหนึ่งราย และคาดว่า ทั่วโลกจะมีผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์ ไม่ต่ำกว่า 50  ล้านคน และจะเพิ่มเป็น 100 ล้านคนในปี 2593 ขณะที่ผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์จะมีชีวิตอยู่ได้ประมาณ 8-10 ปี

อัลไซเมอร์ อาจจะเป็นคำพูดสนุกๆ ติดปากเวลาที่เรา “ขี้หลงขี้ลืม” โดยไม่ได้คิดถึงความน่ากลัวของโรคนี้สักเท่าไร แต่สำหรับผู้สูงอายุ หรือ คนที่เข้าสู่วัยผู้สูงอายุ อัลไซเมอร์ เป็นโรคที่น่ากังวลมากที่สุด เหมือนกับที่ นายจอห์น ลี ประธานกรรมการบริษัท พรีเมียร์ โฮม เฮลท์แคร์ จำกัด และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โครงการ จิณณ์ เวลบีอิ้งเคาท์ตี้ ในเครือ บริษัท ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)หรือ THG กล่าวว่า

 

สิ่งที่เขากลัวมากที่สุดในช่วงวัย “ผู้สูงอายุ” คือ “ตื่นขึ้นมาแล้วลืมว่า ผู้หญิงที่อยู่ข้างๆ เป็นใคร”

ในขณะที่ “คนในครอบครัว” ของผู้ป่วยอัลไซเมอร์ก็ต้องรับภาระหนักในการดูแลผู้ป่วย เพราะเมื่อเป็นแล้ว ผู้สูงอายุคนนั้นอาจจะเปลี่ยนไปเป็นคนที่เราแทบจะไม่รู้จักเลยก็ได้...

แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ผู้สูงอายุจะต้องเผชิญหน้ากับโรคอัลไซเมอร์ ทุกคน และโรคอัลไซเมอร์ มักใช้เวลาหลายปีก่อนที่ผู้ป่วยจะแสดงอาการให้เห็นอย่างชัดเจน ในช่วงเวลานั้นผู้ป่วยอาจมีสัญญาณบ่งชี้ที่คุณสามารถสังเกตเห็นได้ และนำไปสู่การป้องกันและรักษาก่อนที่อาการจะรุนแรง

อ.พญ.จินตนา อาศนะเสน คลินิกผู้สูงอายุ โรงพยาบาลศิริราช เขียนไว้ในหนังสือชื่อ “รู้เท่าทันโรคอัลไซเมอร์” โดยระบุถึง อาการที่พบบ่อยของโรคอัลไซเมอร์ ไว้ว่า

โรงพยาบาลพญาไท ระบุว่า ความเสี่ยงที่จะเป็นโรคอัลไซเมอร์ มาจากพันธุกรรมอายุ และเพศ

พันธุกรรม : หากพ่อแม่เป็นโรคอัลไซเมอร์ลูกมีโอกาสเสี่ยงขึ้นถึง 50% ที่จะเป็น เพราะมีการถ่ายทอดจากยีนส์ที่ชื่อว่า APOE gene โดยผู้ป่วยกลุ่มนี้มักเกิดอาการของโรคอัลไซเมอร์เมื่ออายุไม่มากนัก คือระหว่าง 30-60 ปี

อายุ : เมื่ออายุ 65 ปีขึ้นไป มีโอกาสเป็นโรคอัลไซเมอร์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆแต่ก่อนหน้านั้น ผู้ป่วยมักมีความผิดปกติทางสมองมาระยะหนึ่งแล้ว แบบค่อยเป็นค่อยไป ในบางรายอาจจะมีความผิดปกติของสมองมานานกว่า 10 ปี กว่าอาการของโรคจะปรากฏ

 เพศ : ถ้าเทียบกันแล้ว ผู้หญิงมีโอกาสเป็นอัลไซเมอร์มากกว่าผู้ชาย 3:2 คน

นอกจากนี้ “ความเครียด” เป็นอีกสาเหตุหนึ่งของโรคสมองเสื่อม โดย นักวิจัยจากคณะแพทยศาสตร์และสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยวิสคอนซินของสหรัฐฯ เผยผลการศึกษาที่การประชุมนานาชาติของสมาคมโรคอัลไซเมอร์ว่า ประสบการณ์ที่สร้างความเครียดรุนแรงในชีวิต เช่น การที่ลูกหลานตายจาก หย่าร้าง หรือถูกให้ออกจากงาน จะทำให้สมองเสื่อมประสิทธิภาพเหมือนแก่ขึ้นกว่าเดิมอย่างน้อย 4 ปี

 

ไม่อยากเป็นอัลไซเมอร์ทำไงดี

โรงพยาบาลพญาไท แนะนำไว้ในบทความเรื่อง“ไม่อยากเป็นอัลไซเมอร์ทำไงดี มีกี่วิธีป้องกันได้” ซึ่งเป็นแนวทางการป้องกันโรคอัลไซเมอร์ตั้งแต่ยังหนุ่มยังสาว

เมื่อเป็นแล้วดูแลกันอย่างไร

โดยใช้ หลักการ 4 บ ได้แก่

            1. บอกเล่า เช่นผู้ป่วยก้าวร้าว ให้บอกผู้ป่วยโดยใช้น้ำเสียงนุ่มนวล บอกผู้ป่วยว่าจะทำอะไรให้ น้ำเสียงไม่ข่มขู่

            2. เบี่ยงเบน ไปในเรื่องอื่นที่ ผู้ป่วยมีความสนใจเดิม (โดยไม่ต้องโต้เถียง ไม่ต้องใช้เหตุผล แม้ว่าผู้ป่วยจะเข้าใจผิด เพราะไม่ได้ช่วยอะไรให้ดีขึ้น) ทำให้ผู้ป่วยอารมณ์ดีขึ้น ลืมเรื่องต่างๆ ได้ง่าย ซึ่งเป็นการนำจุดดีของผู้ป่วยสมองเสื่อม ความจำสั้น มาใช้ให้เป็นประโยชน์

            3. บอกซ้ำ ด้วยท่าทีที่เป็นมิตร พูดช้าๆ ที่ละขั้นตอน

            4. แบ่งเบา/ บำบัด เช่นใช้วิธีนวด เพื่อให้ผู้ป่วยผ่อนคลาย ให้ผู้ป่วยทำกิจกรรมบางอย่างที่ง่าย ๆ เบาๆ ไม่ซับซ้อน จัดสิ่งแวดล้อมให้สงบ จัดระบบการดูแลอย่างเป็นระเบียบ จะช่วยให้ผู้ป่วยคงความสามารถต่อไปได้

 

>> ถ้าหากผู้ป่วยมีโรคประจำตัวอื่นๆ เช่น เป็นเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง ต้องพยายามควบคุมโรคเหล่านี้ให้ได้ ไม่เกิดภาวะแทรกซ้อน มิเช่นนั้น อาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้อาการของผู้ป่วยยิ่งเลวร้ายลงกว่าเดิม

 >> ดูแลผู้ป่วยในระยะสุดท้ายไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น การเคาะปอด ดูดเสมหะ การให้ออกซิเจน การเตรียมอาหารสำหรับให้ทางสายให้อาหารผ่านทางจมูก หรือหน้าท้อง การให้อาหาร ระวังเรื่องสำลักอาหาร  การทำกายภาพบำบัดให้ผู้ป่วยเพื่อป้องกันข้อติดแข็ง ตลอดจนการ พลิกตะแคงตัวผู้ป่วย เพื่อป้องกันการเกิดแผลกดทับ เป็นต้น  ระยะนี้ผู้ดูแลอาจจะมีการเตรียมพร้อมในการยอมรับกับการสูญเสียที่อาจจะเกิดขึ้น

นอกจากนี้ อาจารย์สมทรงยังบอกอีกว่า นอกจากที่ผู้ดูแลผู้ป่วยอัลไซเมอร์ จะต้องมีความรู้ ความเข้าใจในเรื่องโรค อาการและอาการแสดง พฤติกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วย รวมทั้งผลกระทบที่เกิดขึ้น และการดูแลที่เป็นพิเศษแล้วผู้ดูแลควรใส่ใจในการดูแลตนเอง เพราะการดูแลผู้ป่วยนานๆ ทำให้มีความเครียดเกิดขึ้น หาเวลาในการผ่อนคลาย ใส่ใจกับสุขภาพของตนเอง ถ้ามีโรคประจำตัว ดูแลตนเองและควบคุมโรคให้ได้

เพราะฉะนั้น ในบางครอบครัวอาจจะต้องใช้บริการผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านมาดูแลผู้ป่วยอัลไซเมอร์ ซึ่งอาจจะมีค่าใช้จ่ายที่ต้องเตรียมพร้อม เดือนละ “หลายหมื่นบาท”

 

ตัวอย่างอัตราค่าบริการสำหรับการดูแลผู้ป่วยอัลไซเมอร์

อัตราค่าบริการห้องพัก 

          - อัตราค่าบริการห้องพักรวมตั้งแต่ 20,000 - 28,000 บาท / เดือน 

          - อัตราค่าบริการห้องพักเดี่ยวตั้งแต่ 25,000 - 35,000 บาท / เดือน 

          - อัตราค่าบริการแบบ Day Care 1,000 - 1,500 บาท / วัน  

 

บริการที่จะได้รับ 

  1. ทีมดูแลได้แก่ แพทย์ พยาบาลวิชาชีพ และ นักกายภาพ ให้การตรวจประเมินสุขภาพแรกเข้าเพื่อให้การวางแผน การดูแลเฉพาะรายผู้สูงอายุ 
  1. มีแพทย์ให้คำแนะนำปรึกษา และเข้าตรวจอาการผู้สูงอายุเมื่อมีอาการเปลี่ยนแปลง และ ให้การรักษาเบื้องต้น 
  1. มีพยาบาลวิชาชีพให้บริการทางการพยาบาลเฝ้าระวังตลอด 24 ชั่วโมง 
  1. บริการด้านกายภาพบำบัดพื้นฐาน โดยนักกายภาพ หรือ ผู้ช่วยกายภาพบำบัด สัปดาห์ละ 3 วัน ครั้งละ 15 - 20 นาที 
  1. ให้บริการตรวจประเมินสุขภาพเบื้องต้นของผู้สูงอายุ และคำแนะนำแนวทางการดูแลรักษาผู้สูงอายุร่วมกันทุก 4-6 สัปดาห์ 
  1. อาหารวันละ 3 มื้อพร้อมผลไม้ หรือขนมหวาน กรณีผู้ป่วยรับอาหารทางสายยาง 3 มื้อ/วัน และนม 1 มื้อ 
  1. ห้องพักสะดวกสบาย พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวก และมีกิจกรรมนันทนาการให้แก่ผู้สูงอายุ การทำกิจกรรมกลุ่มเพื่อเข้าสังคม เช่น การออกทำกายกลุ่มทุกวันตอนเช้า เล่นเกมส์ วาดภาพระบายสี ประดิษฐ์ดอกไม้

 

ค่าใช้จ่ายอื่นที่ไม่รวมในค่าบริการ 

  1. ค่ายา ค่ารักษาทางการแพทย์ ที่ไม่ได้ระบุไว้เบื้องต้น 
  1. ค่าผ้าอ้อมผู้ใหญ่ หากผู้สูงอายุจำเป็นต้องใช้ 
  1. ค่าพยาบาลพิเศษ 
  1. ค่าบริการรถพยาบาลฉุกเฉิน

 


หญิงแม้น