ห้องเม่าปีกเหล็ก

เทียบมุมมองผู้นำประเทศสิงคโปร์ กับ ผู้นำธุรกิจไทย วิสัยทัศน์กลมกลืน

โดย Khondony
เผยแพร่ :
73 views

วันก่อนอ่านข่าวนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ ลี เซียนลุง แถลงถึงสถานการณ์ของประเทศ อันเกิดจากผลกระทบของโควิด-19 รู้สึกเหมือนเดจาวู เพราะเพิ่งได้ฟังได้อ่านจากข่าวสารต่าง ๆ ที่สื่อลงสัมภาษณ์นักธุรกิจใหญ่ของไทย คุณธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโส เครือเจริญโภคภัณฑ์ เมื่อไม่นานมานี้ แม้บุคคลทั้งสองจะอยู่กันคนละประเทศ คนละวงการ มีสถานภาพที่แตกต่างกัน แต่สำหรับมุมมองต่อสิ่งที่เกิดขึ้นและเรื่องที่จะต้องรับมือ เพื่อให้ธุรกิจและเศรษฐกิจของประเทศอยู่รอดต่อไปได้อย่างสง่างามนั้น ช่างสอดคล้องต้องกัน จนแทบจะเรียกว่าเป็นเนื้อเดียวกันได้เลย จึงอดไม่ได้ที่จะนำสิ่งที่แกะได้จากมุมมองที่เหมือนกันของสองผู้นำมาแชร์กันครับ

 

 

 [จากข่าว ลี เซียนลุง: โควิดยังอยู่อีกนาน จงเรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน เร่งเดินหน้าฟื้นฟูเศรษฐกิจ]

 

บุคลากรทางการแพทย์คือทัพหน้า

ทั้งลุงลีและลุงธนินท์ มองเหมือนกันว่า บุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทั้งหลาย คือด่านหน้าที่สำคัญในการปะทะกับโควิด ซึ่งก็ได้ขอบคุณคนกลุ่มนี้ที่เสียสละเพื่อปกป้องคนข้างหลังอย่างเราให้อยู่รอดปลอดภัย หรือได้รับอันตรายน้อยที่สุด แต่ขณะเดียวกันทุกคนก็ต้องช่วยลดภาระของพวกเขา ด้วยการดูแลตัวเองให้ดีในเบื้องต้น เช่น สวมใส่หน้ากากอนามัย เว้นระยะห่างจากสังคม และหลีกเลี่ยงการอยู่ในพื้นที่ที่มีคนหนาแน่น จะได้ไม่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ ไม่ต้องเป็นภาระของทัพหน้าอีกต่อไป

 

นอกจากนั้น สำหรับลุงธนินท์ ในช่วงที่หน้ากากอนามัยขาดแคลน ยังได้ลงทุนกว่า 100 ล้านบาท สร้างโรงงานหน้ากากอนามัย เพื่อแจกจ่ายให้กับบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณะ ซึ่งปัจจุบันได้แจกจ่ายไปแล้วกว่า 5 ล้านชิ้นอีกด้วย

 

รัฐต้องทุ่มงบประมาณช่วยธุรกิจและประชาชน

 

ทั้งสองลุง (ที่ไม่ใช่ลุงตู่ อุ๊บส์!) ยังเห็นต้องกันในเรื่องที่รัฐต้องทุ่มงบประมาณในการช่วยเหลือธุรกิจให้รอดพ้นจากวิกฤติ โดยลุงลีบอกว่า รัฐบาลสิงคโปร์มีความจำเป็นต้องอนุมัติงบประมาณนับล้านล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อที่จะประคับประคองธุรกิจต่าง ๆ และตำแหน่งงานให้คนไม่ต้องตกงาน ให้เศรษฐกิจสามารถขับเคลื่อนได้ต่อไป ส่วนคนทำงานก็ต้องเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ เพื่อที่จะสามารถได้รับการว่าจ้างต่อไปได้

 

ด้านลุงธนินท์ก็ได้เสนอให้รัฐบาลไทยทุ่มงบประมาณช่วยเหลือประชาชนและภาคธุรกิจเช่นกัน โดยอาจจะต้องกู้เงินมาก่อนเพื่อช่วยส่วนนี้ เพราะธุรกิจสร้างใหม่ให้เติบโตยาก จึงควรรักษาธุรกิจที่มีอยู่ให้รอด จะได้ไม่ต้องปลดพนักงาน และจะได้เป็นโอกาสสำหรับธุรกิจนั้น ๆ ในการสร้างงานใหม่ ๆ เช่น บริการส่งถึงบ้าน ออนไลน์ โลจิสติกส์ ตลอดจนพัฒนาทักษะใหม่ ๆ ให้พนักงานที่มีอยู่ไปด้วย เป็นต้น

 

 

เตรียมแผนฟื้นฟูหลังวิกฤติโควิด

 

ลุงลีบอกว่าไม่มีใครสามารถคาดการณ์ได้ว่าโลกหลังโควิด-19 จะเป็นอย่างไร สิ่งที่สิงคโปร์ทำคือการเตรียมพร้อมฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังผ่อนคลาย Lockdown ทั้งในด้านการขนส่งและการค้าที่เกี่ยวพันกัน ตัวอย่างเช่น สนามบินชางฮีก็เริ่มกลับมาเปิดให้บริการ transit flight แล้ว

 

ส่วนลุงธนินท์บอกรัฐบาลว่า ควรเตรียมการรับมือฟ้าหลังฝน เตรียมการสำหรับหลังวิกฤติที่จะทำให้ธุรกิจเดินหน้าได้เร็วที่สุดหลังการฟื้นตัว เช่น รัฐบาลควรเข้าไปช่วยเหลือธุรกิจท่องเที่ยวทั้งระบบ หากโรคระบาดคลี่คลาย ต้องพร้อมเรียกคืนนักท่องเที่ยวทันที ต้องให้คนทั่วโลกมาเที่ยวเมืองไทยเป็นที่แรก จึงควรช่วยเหลือให้เสียหายน้อยสุด เพราะธุรกิจท่องเที่ยวทำเงินเข้าประเทศได้เร็ว คิดเป็นรายได้ปีละ 400,000 ล้านบาท

 

ความมั่นคงทางอาหาร

 

ลุงลีบอกว่า สิงคโปร์กำลังทำให้ supply chain มีความหลากหลายมากขึ้น เช่น การหาแหล่งอาหารที่หลากหลาย เช่น การซื้อไข่จากโปแลนด์ ซื้อกุ้งจากซาอุดิอาระเบีย 

 

ด้านลุงธนินท์บอกว่า โควิด-19 ทำให้หลายประเทศต้องหยุดชะงัก ประสบปัญหาต้องปิดโรงงาน ทำให้อาหารขาดแคลนมาก เมื่อปัญหาคลี่คลาย ยุคต่อไป พฤติกรรมมนุษย์จะเปลี่ยนไปและไม่กลับมาเหมือนเดิม การใส่ใจเรื่องอาหาร สุขภาพและความปลอดภัย จะมีความสำคัญมากขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ สิ่งที่สำคัญจึงเป็นการสร้างมาตรฐานความปลอดภัยในกระบวนการผลิตอาหาร

 

ดึงคนเก่ง

 

ลุงลีมองว่า ต่อจากนี้สิงคโปร์จะพยายามอย่างหนักที่จะรักษาคนเก่งให้ทำงานกับสิงคโปร์ต่อไป ขณะเดียวกันก็จะดึงดูดคนเก่ง ๆ ให้มาทำงานและลงทุน เพื่อให้เศรษฐกิจฟื้นตัวได้ง่ายขึ้น

 

ลุงธนินท์ก็พูดเสมอในเรื่องการรักษาคนเก่ง โดยบอกว่าประเทศไทยควรจะดึงคนเก่งด้านที่เราขาดอยู่มาทำงานที่เมืองไทย อย่างด้านเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่คนไทยยังไม่เก่งและยังไม่พร้อม เช่น ถ้าดึงได้ห้าล้านคน มาใช้ชีวิตในเมืองไทย มาสร้างเศรษฐกิจให้เรา รายจ่ายของเขาจะกฃายเป็นรายได้ของเราด้วย เช่น ท่องเที่ยว ภาษี และถ้ามาลงทุนก็จะมีการจ้างงานเพิ่มอีกด้วย ซึ่งเรื่องการพัฒนาคน เป็นประเด็นที่ต้องทำตลอดเวลา และวิธีหนึ่งที่หลายประเทศกำลังทำอยู่ คือ ดึงคนเก่งไปอยู่ประเทศตัวเอง เช่น สิงคโปร์ ญี่ปุ่น ดังนั้น รัฐบาลต้องดึงดูดคนเก่งให้มาอยู่ไทยระยะยาวหรือถาวร ประโยชน์จะเกิดกับประเทศมหาศาล

 

 

ต้องมองไปข้างหน้าอย่างมีความหวัง และทำให้ประเทศอยู่ในระดับโลก

 

ลุงลีบอกชาวสิงคโปร์ว่า อย่ากลัว อย่าสูญเสียกำลังใจ สิงคโปร์จะก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นใจ ทุกวันนี้ สิงคโปร์ทำงานอย่างหนัก ทั้งการเปลี่ยนแปลงศักยภาพตัวเอง การวางแผนเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจในอนาคต ลงทุนเพื่อพัฒนาแรงงาน พัฒนาทักษะสำหรับอนาคต พัฒนาภาครัฐ ภาคเอกชนให้เป็นดิจิทัล สร้างนวัตกรรมและพัฒนาศักยภาพในการวิจัยและพัฒนา ซึ่งถ้าทำทุกอย่างที่ว่ามา จะทำให้สิงคโปร์โดดเด่นทั้งในระดับเอเชียและระดับโลก

 

ด้านลุงธนินท์บอกว่า หากรัฐบาลบริหารประเทศให้ดี กล้าคิดใหญ่ สร้างคนให้มีคุณภาพ ประเทศไทยจะไปได้ไกล เมืองไทยเป็นเมืองที่มีวัฒนธรรมดีที่สุด มีศักยภาพเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจโลก ส่วนในยามที่มีแต่ความมืด ต้องคิดว่าพอสว่างแล้วจะทำอย่างไร เตรียมพร้อมเอาไว้เสมอ เตือนตัวเองว่าวิกฤติมาได้ทุกวัน ย้ำกับตัวเองว่าเราเตรียมพร้อมหรือยัง ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใด

 

 

นั่นคือมุมมองส่วนหนึ่ง ของสองบุคคลผู้ทรงอิทธิพลของสองประเทศที่มีพื้นฐานจากต่างวงการกัน แต่มีมิติของการมองเห็นปัญหาและการหาทางออกจากปัญหาในทิศทางเดียวกัน ซึ่งเป็นการพัฒนาประสิทธิภาพของของเดิมที่มีอยู่ และกำลังมุ่งสู่การสร้างโอกาสใหม่ ๆ ให้กับประเทศ บางมุมก็ทำให้เห็นว่า วันนี้ประเทศไทยเรา ได้ยกระดับตัวเองขึ้นมา จนสามารถอยู่ในระนาบเดียวกับประเทศที่เคยนำหน้าเราไปไกลมากได้แล้ว และถ้าหากเราจะ “อัพสกิล” และ “อัพสปีด” ตัวเองขึ้นอีกนิด ต่อไปเราไม่เพียงสามารถเป็นผู้นำภูมิภาคได้ แต่จะอาจหาญก้าวกระโดดไปสู่ระดับโลกได้อย่างเข้มแข็ง

 

======================== 

 


Khondony