ทำไม วอร์เรน บัฟเฟตต์ ให้ความสำคัญกับ "แบรนด์"
By จุลเกียรติ สินชัยชูเกียรติ
วันนี้จะในตลาดหลักทรัพย์บ้านเรายังไม่ขยับและเติบโตเท่าที่ควร เหตุผลหนึ่งก็เพราะว่าวิธีการวัดผลของธุรกิจที่จะนำเสนอต่อนักลงทุนเราขาดเรื่องการวัดผลด้านความสามารถในการทำกำไรในระยะยาว

ซึ่ง Indicators ที่สำคัญคือ ความแข็งแรงของแบรนด์ครับ เรื่องนี้ผมคงต้องอ้างอิงแนวคิดของนักลงทุนระดับโลกว่าทำไมเขาถึงดูตัวชี้วัดด้านนี้
เมื่อพูดถึงนักลงทุนระดับโลกที่ประสบความสำเร็จสูงสุด ชื่อของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ (Warren Buffett) มักถูกยกขึ้นมาเป็นอันดับแรก เขาไม่ได้เป็นเพียงนักลงทุนที่เก่งด้านการอ่านงบการเงินเท่านั้น
แต่ยังมีมุมมองที่เฉียบคมต่อสิ่งที่ทำให้ธุรกิจ “อยู่รอดและเติบโตได้ในระยะยาว” ซึ่งหนึ่งในตัวชี้วัดสำคัญที่เขาให้ความสำคัญมาก คือ “แบรนด์” หรือ ความแข็งแรงของแบรนด์นั่นเองครับ เพราะอะไร ?
1.แบรนด์คือความเชื่อมั่น (Brand = Trust)
บัฟเฟตต์เชื่อว่า (ไม่ใช่แค่ความเชื่อแต่เป็นความจริงครับ) ลูกค้าไม่ได้ซื้อสินค้าเพียงเพราะคุณสมบัติของมัน แต่ซื้อเพราะเชื่อมั่นในแบรนด์ ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ Coca-Cola, Apple ที่บัฟเฟตต์ลงทุนมหาศาล เพราะเชื่อว่าไม่ว่ากี่ยุคกี่สมัย คนทั่วโลกก็ยังเลือกโค้ก หรือ Apple เพราะความผูกพันและความไว้วางใจในแบรนด์ ที่มากกว่าแค่คุณสมบัติของสินค้า ผู้บริโภคจะอุดหนุนแบรนด์ที่เขาไว้ใจเท่านั้นครับ
2.แบรนด์คือ “Durable Competitive Advantage”
บัฟเฟตต์ใช้แนวคิด Moat หรือ “คูเมือง” เพื่ออธิบายการป้องกันธุรกิจจากคู่แข่ง แบรนด์ที่แข็งแกร่งจึงเปรียบเสมือนคูเมืองที่ลึกและกว้าง เพราะทำให้คู่แข่งเลียนแบบได้ยาก
ลูกค้าก็ยังภักดี แม้จะมีสินค้าที่ราคาถูกกว่าหรือมีคุณสมบัติใกล้เคียงกัน ผู้บริโภคก็ยังคงยึดโยงกับแบรนด์นั้นๆมากกว่า แบรนด์ที่มีสุขภาพที่ดีแข็งแรงนั้นจะส่งผลต่อการสร้างขีดความสามารถทางการแข่งขัน ซึ่งจะส่งผลประกอบการที่ดีในระยะยาวนั่นเองครับ
3.กระแสเงินสดที่มั่นคงและคาดการณ์ได้
ธุรกิจที่มีแบรนด์แข็งแรง มักมีลูกค้าซื้อซ้ำอย่างต่อเนื่อง และยังสามารถตั้งราคาสูงกว่าคู่แข่งได้โดยไม่สูญเสียฐานลูกค้า สิ่งนี้ทำให้เกิด กระแสเงินสดที่มั่นคง ซึ่งเป็นสิ่งที่บัฟเฟตต์ให้ความสำคัญมาก เพราะช่วยให้บริษัทอยู่รอดได้ในทุกสภาวะเศรษฐกิจ
ตัวอย่างที่เขายกคือ See’s Candies ขนมหวานที่มีแบรนด์แข็งแรงในสหรัฐ ลูกค้ายอมจ่ายแพงกว่าเพราะคุณค่าแบรนด์ ไม่ใช่เพียงเพราะรสชาติ
4.แบรนด์ช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มในตลาดทุน
ในโลกของการลงทุน บริษัทที่มีแบรนด์แข็งแกร่งมักมีมูลค่าตลาดสูงกว่าทรัพย์สินที่จับต้องได้ เพราะนักลงทุนพร้อมจะ “จ่ายแพงขึ้น” เพื่อครอบครองหุ้นของบริษัทที่มั่นใจว่าจะเติบโตได้อย่างยั่งยืน ดังนั้น แบรนด์คือ สินทรัพย์ที่สร้างมูลค่าในตลาดทุนได้จริง แบรนด์ที่แข็งแกร่งไม่ใช่แค่เรื่อง “ภาพลักษณ์” แต่สามารถสร้าง มูลค่าเพิ่มในตลาดทุน ได้จริง โดยมีมุมสำคัญ คือ
ประเด็นแรก : คือ การสร้างมูลค่า Price Premium ในราคาหุ้น (Brand Equity to Market Cap) แบรนด์ทำให้บริษัทสามารถขายสินค้า/บริการในราคาสูงขึ้น (premium pricing)ส่งผลให้กำไรและมูลค่าตลาด (Market Capitalization) เติบโต
ประเด็นสอง : คือ สนับสนุนการขยายธุรกิจ (Growth Opportunities) แบรนด์ที่แข็งแรงสามารถต่อยอดสู่ Global Expansion หรือสร้างพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ได้ง่ายสิ่งนี้สะท้อนให้เห็นในความสามารถของบริษัทในการเติบโตระยะยาวนักลงทุนพร้อมให้มูลค่าสูงขึ้น
5. สอดคล้องกับปรัชญาการลงทุนของบัฟเฟตต์
บัฟเฟตต์มักพูดว่า “It’s far better to buy a wonderful company at a fair price than a fair company at a wonderful price.” (การซื้อกิจการที่ยอดเยี่ยมในราคาที่สมเหตุสมผล ย่อมดีกว่าการซื้อกิจการที่พอใช้ได้ในราคาที่ถูกแสนวิเศษ)
ความหมายคือ เขาให้ความสำคัญกับคุณภาพและความแข็งแกร่งของกิจการ (เช่น แบรนด์ที่แข็งแรง) มากกว่าการมองแค่ราคาถูก เพราะธุรกิจที่ดีจะสร้างคุณค่าและความมั่นคงระยะยาวให้กับนักลงทุนครับ
Wonderful Company ในความหมายของเขา คือบริษัทที่มี “แบรนด์แข็งแกร่ง + ความสามารถทำกำไรระยะยาว”
บทสรุปทำไมวอร์เรน บัฟเฟตต์ จึงให้ความสำคัญกับ “แบรนด์”
แบรนด์ในมุมมองของวอร์เรน บัฟเฟตต์ จึงไม่ใช่เพียงการตลาดหรือโลโก้สวยงาม แต่เป็น หัวใจของความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืน ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อกำไร กระแสเงินสด และความเชื่อมั่นของนักลงทุน การลงทุนของเขาใน Coca-Cola, American Express, Apple, แดรี่ ควีน, See’s Candies อื่นๆ คือบทพิสูจน์ว่า
แบรนด์ที่แข็งแรงคือ สินทรัพย์ที่คุ้มค่าที่สุดสำหรับนักลงทุนระยะยาวถึงเวลาแล้วหรือยังครับที่ในตลาดหลักทรัพย์, บริษัทจดทะเบียนในตลาด และนักลงทุนบ้านเราควรให้ความสำคัญกับการมองตัวชี้วัดเรื่องความแข็งแรงของแบรนด์ อย่างจริงจัง เพื่อก้าวต่อไปในอนาคต
ที่มา. https://www.bangkokbiznews.com/business/business/1195122