5 หุ้นอสังหาฯ ปันผลดี รับธีมเงินทุนไหลเข้า5 หุ้นอสังหาฯ ปันผลดี รับธีมเงินทุนไหลเข้า
ปี 2564 นักวิเคราะห์ประเมินว่าปัจจัยที่จะช่วยหนุนดัชนีให้ไปต่อมาจากเงินทุนต่างชาติ (ฟันโฟลด์) ซึ่งคาดว่าจะไหลเข้าตลาดหุ้นไทยต่อเนื่องจากปลายปี 2563 โดยกลุ่มหุ้นที่เป็นเป้าหมายของนักลงทุนต่างชาตินอกจากจะเป็นหุ้นขนาดใหญ่แล้วยังมีหุ้นปันผล ที่หากซื้อขณะนี้และถือไปจนถึงเดือนเม.ย. นักลงทุนจะได้รับสิทธิ์ในเงินปันผลด้วย
สำหรับหุ้นปันผลที่ได้รับความนิยมมักเป็นหุ้นธนาคารและหุ้นอสังหาริมทรัพย์ แต่ปัจจุบันราคาหุ้นธนาคารปรับขึ้นไปค่อนข้างมากแล้ว การจะได้รับเงินปันผลสูงก็ต้องใช้จำนวนเงินที่สูงตามไปด้วย ต่างจากหุ้นอสังหาฯ ที่ราคายังปรับขึ้นไม่มาก ดังนั้น Wealthy Thai ขอหยิบ 5 หุ้น อสังหาฯ ที่ให้ปันผลสูง ราคาหุ้นยังไม่แพง และอาจได้รับอานิสงส์จากฟันโฟลด์มานำเสนอ
เริ่มที่หุ้นตัวแรก LH หรือ บริษัทแลนด์แอนด์เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) เชื่อว่านักลงทุนคงคุ้นเคยกับหุ้นตัวนี้ดี เพราะถ้าพูดถึงหุ้นอสังหาฯ ที่ให้ปันผลดี LH ต้องขึ้นมาเป็นรายชื่อแรกอย่างแน่นอน โดยราคาหุ้นวันที่ 28 ธ.ค. 63 อยู่ที่ 8.00 บาท ยังปรับตัวลดลง 18.73% เมื่อเทียบกับราคาช่วงต้นปี และมีอัตราเงินปันผลตอบแทนอยู่ที่ 8.75% นักวิเคราะห์บล.เอเซีย พลัส ระบุว่า แนวโน้มกำไรไตรมาส 4/63 ของ LH จะสูงที่สุดในปี 2563 จากการรับรู้กำไรพิเศษก่อนภาษีจากการขาย Apartment สหรัฐ ราว 415.5 ล้านบาท และประเมินจะรับรู้กำไรหลังภาษี 332 ล้านบาท ซึ่งเมื่อรวมกับผลการดำเนินงานของธุรกิจหลัก โดยเฉพาะอสังหาฯ ที่มีแบ็กล็อกรอโอนกว่า 4.9 พันล้านบาท รวมถึงส่วนแบ่งกำไรจาก HMPRO ที่สูงขึ้นตามการฟื้นตัวของบริษัท จะช่วยผลักดันกำไรในไตรมาส 4/63 สูงสุดในปี 2563 และสร้าง Upside เพิ่มเติมต่อประมาณการและเงินปันผล ทั้งนี้ นักวิเคราะห์แนะนำ “ซื้อ” ประเมินมูลค่าพื้นฐานปี 2564 ที่ 930 บาท และคาดว่าจะสามารถจ่ายเงินปันผลได้สูงกว่า 5-6% ต่อปี
หุ้นตัวที่สอง QH หรือ บริษัท ควอลิตี้เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) เป็นหุ้นอสังหาฯ อีกตัวที่นักวิเคราะห์แนะนำให้เข้าลงทุนเพื่อรับปันผล โดยราคาหุ้นวันที่ 28 ธ.ค. 63 อยู่ที่ 2.32 บาท ปรับตัวลง 9.38% เมื่อเทียบกับราคาช่วงต้นปี และมีอัตราเงินปันผลตอบแทนอยู่ที่ 8.62% นักวิเคราะห์บล.เอเซีย พลัส ระบุว่า สิ้นไตรมาส 3/63 QH มีแบ็กล็อกอยู่ที่ 1.14 พันล้านบาท โดยทั้งหมดจะพร้อมโอนในไตรมาส 4/63 ซึ่งจะรองรับเป้าโอนของปี 63 ได้ราว 91% ส่วนที่เหลือจะมาจากสต๊อกโครงการเดิมมูลค่ารวม 4.5 หมื่นล้านบาท (เป็นคอนโดพร้อมโอน 1.36 หมื่นล้านบาท) ซึ่งจะช่วยผลักดันให้ยอดโอนในไตรมาส 4/63 และปี 2563 เป็นไปตามเป้าหมายที่บริษัทตั้งไว้ นอกจากนี้ ยังมีแรงหนุนจากส่วนแบ่งกำไรบริษัทร่วมที่ปกติจะสูงสุดในไตรมาสสุดท้ายของปี มาจาก HMPRO เป็นหลัก คาดสนับสนุนภาพรวมกำไรไตรมาส 4/63 ราว 500-600 ล้านบาท ดังนั้นจึงคงประมาณการกำไร QH ปี 2563 ที่ 2.1 พันล้านบาท โดยแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายปี 2564 ที่ 2.76 บาท เนื่องจากมองว่า Dividend Yield เฉลี่ยที่ 6% และกำไรปี 2564 จะกลับมาเติบโต 20% จากปีนี้ จากส่วนแบ่งกำไรบริษัทร่วม 1.94 พันล้านบาท
หุ้นตัวที่สาม SC หรือ บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) โดยราคาหุ้นวันที่ 28 ธ.ค. 63 อยู่ที่ 2.82 บาท เพิ่มขึ้น 24.78% เมื่อเทียบกับราคาช่วงต้นปี และอัตราเงินปันผลตอบแทนอยู่ที่ 6.74% นักวิเคราะห์จากบล.เอเชีย เวลท์ ระบุว่า มีมุมมองเชิงบวกต่อ SC หลังผลประกอบการไตรมาส 3/63 ออกมาโดดเด่น ทำให้ปรับประมาณการกำไรปี 2563 ขึ้นอีก 22% เป็น 17,283 ล้านบาท เพื่อสะท้อนถึงผลประกอบการไตรมาส 4/63 ที่คาดว่าจะมีแนวโน้มบวกต่อเนื่อง จากแบ็กล็อกที่บริษัทจะรับรู้เป็นรายได้ในช่วงที่เหลือของปี 2563 อีกราว 4,000 ล้านบาท ประกอบกับแผนเปิดโครงการใหม่ ซึ่งจะเพิ่มยอด Presales ให้เป็นไปตามเป้าปี 2563 ได้ โดยยังคงแนะนำ “ซื้อ” ให้มูลค่าเหมาะสมใหม่ที่ 2.90 บาท อิง PER 7.0 เท่า และคาดเงินปันผลปี 2563 ที่ 0.18 บาท (Dividend Yield 7.2%)
หุ้นตัวที่สี่ AP หรือ บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ราคาหุ้นวันที่ 28 ธ.ค. 63 อยู่ที่ 7.40 บาท ยังปรับตัวลดลง 0.67% เมื่อเทียบกับราคาช่วงต้นปี และมีอัตราเงินปันผลตอบแทนอยู่ที่ 5.41% โดยนักวิเคราะห์จากบล.เอเซีย พลัส ระบุว่า แบ็กล็อกของ AP ถึงสิ้น ต.ค. 63 รวม 4 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นของบริษัทเอง 1.27 หมื่นล้านบาท ซึ่งมีกำหนดส่งมอบในไตรมาส 4/63 ราว 7.4 พันล้านบาท ซึ่งรองรับเป้าโอนฯ ของนักวิเคราะห์ปีนี้ 98% เมื่อบวกกับส่วนเพิ่มเติมจากการขายโครงการแนวราบใหม่ที่จะเปิดขายช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี และสต๊อกคอนโดเดิม ทำให้ประมาณการยอดโอนปีนี้น่าจะถึงเป้าหมายได้ โดยประมาณการกำไรปกติปี 2563 ที่ 4.06 พันล้านบาท ถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่ตั้งบริษัทมา และคิดเป็นการเติบโต 35% จากปี 2562 แนะนำ “ซื้อ” มูลคำพื้นฐานปี 2564 ที่ 8.35 บาท และคาดเงินปันผลที่ระดับ 6-7% (จ่ายปีละครั้ง) ขณะที่ราคาหุ้นมี PBV 0.7 เท่า PER ต่ำกว่า 6 เท่า
และหุ้นตัวสุดท้าย NOBLE หรือ บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ราคาหุ้นวันที่ 28 ธ.ค. 63 อยู่ที่ 24.50 บาท เพิ่มขึ้น 49.39% เมื่อเทียบกับราคาช่วงต้นปี และมีอัตราเงินปันผลตอบแทนอยู่ที่ 30.20% โดยนักวิเคราะห์จากบล.หยวนต้า ระบุว่า ยังมีมุมมองบวกต่อหุ้น จากปัจจัย 1.แนวโน้มผลประกอบการปี 2563-2564 ยังแข็งแกร่งจากแบ็กล็อกที่อยู่ในระดับสูง, 2. Platform การขายในต่างประเทศคาดเป็นปัจจัยสำคัญหนุนยอดขายและรายได้ในปี 2564 หลังมีการเปิดประเทศ, 3. แผนการเปิดตัวโครงการใหม่ที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด คาดจะเป็นปัจจัยหนุนการเติบโตรายได้และกำไรในปี 2565 เป็นต้นไป และ 4. การจัดตั้งบริษัทร่วมเพื่อพัฒนาทรัพย์สินเป็น Vertical Integration ต่อยอดธุรกิจหลักคือการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และอาจมี Upside risk เพิ่มเติมจากการจับมือกับ SAWAD ซึ่งเป็น Key strategic partner รายใหม่ ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญหนุนการขยายฐานธุรกิจและผลิตภัณฑ์ในอนาคต โดยยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 24.40 บาท และคาดว่าเงินปันผลงวดครึ่งหลังปี 2563 และปี 2564 จะอยู่ที่ 0.85 บาท และ 2.11 บาท คิดเป็น Dividend Yield ที่ 4.2% และ 10.6% ตามลำดับ
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก