อ่านโลกในภาวะ ‘ไม่แน่นอน’ จากฟองสบู่ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ สู่ทางรอดของนักลงทุนไทย
.
ท่ามกลางโลกที่หมุนอยู่บนความคลุมเครือทางเศรษฐกิจ บางข่าวก็บอกว่าตลาดทำจุดสูงสุดใหม่ แต่อีกฝั่งก็กระซิบถึงวิกฤตที่อาจรออยู่ข้างหน้า แล้วนักลงทุนอย่างเราจะยืนอยู่ตรงจุดไหน? เสาหลักที่คุ้นเคยอย่างเศรษฐกิจอันทรงพลังของสหรัฐอเมริกา กลับเริ่มส่งสัญญาณเตือนภัยบางอย่าง การทะยานขึ้นอย่างไม่หยุดยั้งของตลาดหุ้นคือสัญญาณของความแข็งแกร่งจริง ๆ หรือเป็นเพียงยอดเขาสูงชันก่อนการร่วงหล่น? และเมื่อหันกลับมามองบ้านเรา กระแสทางการเมืองและเศรษฐกิจของไทยก็ยังเป็นลมที่เปลี่ยนทิศไปมาและยังไร้ทิศทางที่แน่นอน
.คำถามเหล่านี้หนักหน่วงเกินกว่าจะตอบด้วยการคาดเดา จึงต้องพึ่งพาผู้เชี่ยวชาญอย่างคุณไพบูลย์ นลินทรางกูร นายกสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน และกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย ที่เปิดโอกาสให้เราได้ถามถึงเรื่องที่ยังสงสัยและมอบแง่คิดใหม่ ๆ ในภูมิทัศน์ที่ปั่นป่วนเบื้องหน้า
.

ประเด็นแรกที่น่ากังวลเมื่อมองออกไปนอกประเทศ คือสัญญาณที่ปรากฏขึ้นในเศรษฐกิจที่เคยเป็นเสาหลักของโลกอย่างสหรัฐอเมริกา ตลาดหุ้นที่พุ่งทะยานราวกับไม่มีวันสิ้นสุด ทำให้เกิดข้อสงสัยตัวโต ๆ ว่า “ตลาดสหรัฐฯ กำลังเป็นฟองสบู่หรือไม่?” คุณไพบูลย์ให้ความเห็นในเรื่องนี้ว่า
.
“สำหรับความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอก ผมอาจจะกังวลเรื่องตลาดหุ้นสหรัฐฯ มากกว่า ประเด็นแรกคือ ระดับของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ซึ่งต้องยอมรับว่ามันสูงมากแล้ว เพราะที่ผ่านมาแทบจะไม่เคยปรับฐานหรือย่อตัวลงเลยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมานี้ เรียกว่ากราฟขึ้นเป็นเส้นตรงเลยก็ว่าได้ ถึงแม้จะมีการย่อตัวลงบ้างเป็นช่วง ๆ เช่น ตอนเกิดโควิด แต่สุดท้ายก็กลับขึ้นไปต่อเรื่อย ๆ สถานการณ์เช่นนี้ค่อนข้างน่ากังวล เพราะถ้าหากเกิดแรงเทขายหรือการปรับฐาน (Correction) ครั้งใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ซึ่งหลายคนก็คาดการณ์ว่าน่าจะเกิดขึ้น แต่ก็ยังไม่เกิดสักที ถ้ามันเริ่มเกิดขึ้นจริง ผลกระทบที่จะตามมาจะเป็นอย่างไร? ผมคิดว่าประเด็นนี้ยังคงเป็นเรื่องที่น่ากังวล”
.
นี่คือภาพที่ทำให้นักลงทุนทั่วโลกต้องจับตาอย่างไม่กะพริบ เพราะหากเกิดการปรับฐานครั้งใหญ่ ผลกระทบย่อมส่งมาถึงเราอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
.
ความกังวลไม่ได้มีแค่เรื่องราคาหุ้น แต่ยังลามไปถึงปัญหาเงินเฟ้อที่ยังคงเป็นปริศนา แม้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะพยายามต่อสู้อย่างหนัก แต่ก็ยังไม่มีใครตอบได้ว่าไฟป่าแห่งเงินเฟ้อจะถูกสกัดไว้ได้จริงหรือไม่
.
“วันนี้ทุกคนก็ยังไม่สามารถตอบได้ว่าเงินเฟ้อจะกลับมาหรือไม่ ที่เป็นเช่นนี้เพราะปัจจุบันผู้ที่แบกรับภาระเงินเฟ้อเอาไว้ก็คือภาคบริษัทเอง พวกเขายังยินดีที่จะแบกรับต้นทุนไว้และยังไม่ได้ส่งต่อไปให้ผู้บริโภคมากจนเกินไป บริษัทต่าง ๆ ยังสามารถทำเช่นนั้นได้ เพราะยังมีช่องทางในการลดค่าใช้จ่ายด้านอื่น ๆ เพื่อมาพยุงไว้ แต่ถ้าหากพวกเขาเริ่มลดค่าใช้จ่ายด้านอื่นไม่ได้แล้ว ก็คงจะแบกรับภาระนี้ต่อไปไม่ไหว และจำเป็นต้องส่งต่อต้นทุนกลับมาให้ผู้บริโภค”
“หากเป็นเช่นนั้น ราคาขายสินค้าก็จะปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่ภาวะเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นตามมา และเมื่อเงินเฟ้อสูงขึ้น ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ก็อาจจะไม่กล้าลดอัตราดอกเบี้ย การไม่ลดดอกเบี้ยจะยิ่งเป็นการซ้ำเติมเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่กำลังเผชิญกับภาวะตลาดแรงงานที่ไม่ค่อยดีอยู่แล้ว ผมคิดว่าทั้งหมดนี้เป็นสถานการณ์ ที่เราไม่อยากให้เกิดขึ้น แต่มันก็เป็นความเสี่ยงที่ต้องจับตาดูกันต่อไป”
.
สิ่งที่คุณไพบูลย์กล่าวสะท้อนความเปราะบางของสถานการณ์ได้เป็นอย่างดี ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลให้ตลาดพันธบัตรทั่วโลกเกิดความปั่นป่วน ผลตอบแทนพันธบัตร (Bond Yield) ที่พุ่งสูงขึ้นในหลายประเทศ ทั้งสหรัฐฯ ยุโรป และญี่ปุ่น อาจเป็นสัญญาณอันตรายที่เตือนถึงวิกฤตที่อาจซ่อนตัวอยู่
------
หันกลับมามองไทย อะไรคือความหวังท่ามกลางความไม่แน่นอน
.
สำหรับประเทศไทยก็เผชิญกับความไม่แน่นอนทางการเมืองที่กลายเป็นเรื่องคุ้นชินเสียแล้ว อย่างไรก็ตาม คุณไพบูลย์มองว่าตลาดหุ้นไทยได้ "มองข้ามช็อต" ไปแล้ว โดยคาดหวังไปยังการเลือกตั้งครั้งใหม่ที่จะนำมาซึ่งรัฐบาลที่มีเสถียรภาพมากกว่าเดิม
.
“ผมคิดว่าจุดโฟกัสของตลาดทุนคงจะให้น้ำหนักไปที่เรื่องของการเลือกตั้งใหม่ที่จะเกิดขึ้น ว่าจะเป็นเมื่อไหร่กันแน่ และคงอยากจะรอฟังนโยบายต่าง ๆ ในช่วงการหาเสียงเลือกตั้งมากกว่า ผมจึงคิดว่าตลาดทุนไม่ได้คาดหวังมากนักว่ารัฐบาลคณะใหม่ที่เข้ามาจะสามารถทำอะไรได้มากมาย แต่อย่างน้อยที่สุด อยากให้เข้ามาช่วยรักษาเสถียรภาพของเศรษฐกิจในช่วงนี้ไว้ แล้วจึงยุบสภาให้เร็วที่สุดเพื่อจัดการเลือกตั้งใหม่ เพราะเราอยากเห็นความชัดเจนและความต่อเนื่องในระยะยาวแบบ 4 ปี มากกว่าแค่ 4 เดือน”
.
ในระหว่างที่รอความชัดเจนทางการเมืองนี้ เมื่อหันมาพิจารณาสภาพเศรษฐกิจโดยรวม แม้เศรษฐกิจไทยจะเติบโตในระดับต่ำกว่าศักยภาพ แต่ก็ยังมีความโชคดีซ่อนอยู่ นั่นคือเรายังไม่ถึงขั้นเศรษฐกิจถดถอย (Recession) และยังมี ‘หุ้น’ บางกลุ่มที่เป็นเหมือนโอเอซิสกลางทะเลทรายให้นักลงทุนได้พักพิง
------
กลยุทธ์การลงทุนในภาวะไม่แน่นอนคือ ค้นหาโอเอซิสให้เจอ
.
เมื่อภาพรวมเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน การค้นหา ‘โอเอซิส’ หรือสินทรัพย์ที่พอจะหลบภัยได้จึงเป็นสิ่งจำเป็น ซึ่งคุณไพบูลย์ได้ให้คำแนะนำในการจัดพอร์ตการลงทุนที่น่าสนใจ โดยเน้นการกระจายความเสี่ยงทั้งในและต่างประเทศ
1 ) จัดพอร์ตลงทุนในประเทศ เน้นความมั่นคงและเติบโตสวนกระแส
• สำหรับตลาดหุ้นไทย กลยุทธ์หลักคือการเลือกหุ้นที่สามารถยืนหยัดได้ท่ามกลางเศรษฐกิจที่เติบโตต่ำ โดยแบ่งเป็นสองส่วนหลักดังนี้
• หุ้นปันผลเป็นแกนหลัก (Core Holding) ควรเน้นหุ้นพื้นฐานดีที่จ่ายเงินปันผลสูงและสม่ำเสมอในระดับ 5-6% เพื่อสร้างกระแสเงินสดที่แน่นอนระหว่างรอความชัดเจนของตลาด
• หุ้นที่ไม่ผันผวนตามเศรษฐกิจ คือหุ้นในกลุ่มธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจโดยรวมน้อย หรือมีปัจจัยบวกเฉพาะตัว ซึ่งได้แก่ กลุ่มสื่อสารโทรคมนาคม กลุ่มโรงพยาบาล กลุ่มท่องเที่ยว และกลุ่มโรงไฟฟ้า
2 ) กระจายความเสี่ยงสู่ต่างประเทศ เลือกอย่างชาญฉลาดในธีมที่ยังไปต่อ
นอกจากการลงทุนในประเทศแล้ว การกระจายเงินทุนไปยังต่างประเทศยังคงมีความสำคัญ แต่ต้องเลือกอย่างระมัดระวังมากขึ้น
• ตลาดหุ้นสหรัฐฯ : ต้องยอมรับว่าตลาดโดยรวมไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ควรหลีกเลี่ยงหุ้นที่ราคาสูงเกินไป และหันมามองหาผู้เล่นตัวที่สองหรือสามในธีมการลงทุนที่น่าสนใจ เช่น AI หรือลงทุนในบริษัทที่อยู่ในระบบนิเวศ (Ecosystem) ของเทคโนโลยีนั้น ๆ เช่น Data Center
• ใช้ DR เป็นประตูสู่โลก : ปัจจุบันนักลงทุนไทยสามารถลงทุนในหุ้นต่างประเทศชั้นนำกว่า 100 บริษัทได้สะดวกผ่าน DR (Depositary Receipt) ในตลาดหุ้นไทย ซึ่งมีทางเลือกที่น่าสนใจทั้งหุ้นเทคโนโลยีของจีน หรือหุ้นในกลุ่มธุรกิจเกมของญี่ปุ่น
.
ทั้งหมดนี้คือแนวทางการลงทุนที่ชี้ให้เห็นว่า แม้จะอยู่ท่ามกลางโลกที่ความเสี่ยงและความไม่แน่นอนกลายเป็นส่วนหนึ่งของสมการ การปรับตัวและกระจายการลงทุนอย่างชาญฉลาดเท่านั้นที่จะเป็นเกราะป้องกันที่ดีที่สุดสำหรับนักลงทุนทุกคน ไม่ว่าพายุเศรษฐกิจลูกต่อไปจะมาจากทิศทางใดก็ตาม
ที่มา. Business Tomorrow