ที่มา ทันหุ้น
--
CPF แกร่งปรับเป้าหมาย โบรกจัดราคา 41 บาท
เนื่องจากตัวเลขผลประกอบการไตรมาส 2/59 ที่สูงกว่าคาด เราจึงทำการปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2559 เพิ่มขึ้นอีก 7% (มาอยู่ที่ 1.67 หมื่นล้านบาท) และปรับประมาณการกำไรหลักปี 2559 เพิ่มขึ้นอีก 34% (มาอยู่ที่ 1.59 หมื่นล้านบาท) เราทำการปรับอัตรากำไรขั้นต้นปี 2559 เพิ่มขึ้นจาก 15.7% ไปเป็น 16.9% ในปี 2559 เราปรับเพิ่มราคาเป้าหมายใหม่ที่ประเมินด้วยวิธี DDM มาอยู่ที่ 41 บาท (จาก 36 บาท) เพื่อสะท้อนการเลื่อนปรับไปใช้เป็นราคาเป้าหมาย ณ สิ้นปี 2560 แทนและการปรับประมาณการกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น เราคาดว่าธุรกิจกุ้งในไทยจะพลิกกลับเป็นกำไรสุทธิสำหรับทั้งปี 2560 CPF ยังคงเป็นหุ้นที่เราชื่นชอบมากที่สุดในกลุ่มอาหาร เนื่องจากกำไรหลักที่มีแนวโน้มเติบโตก้าวกระโดดในช่วงวงจรธุรกิจขาขึ้นจาก การพลิกฟื้นกลับมามีกำไรของธุรกิจกุ้งไทยในช่วงตั้งแต่ครึ่งหลังของปี 2559 จนถึงปี 2560 อัตรากำไรของธุรกิจสัตว์บกที่จะยังดีจากราคาเนื้อสัตว์บกที่ปรับตัวเพิ่ม ขึ้นและผลประกอบการของธุรกิจต่างประเทศที่ปรับตัวดีขึ้น
CPF รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 2/59 ที่ 4.02 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 35% YoY และ 7% QoQ ถ้าไม่รวมรายการพิเศษในไตรมาส 2/59 ซึ่งได้แก่ ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน 75 ล้านบาท กำไรหลังหักภาษีจากการเทรดดิ้งหุ้น CPALL 455 ล้านบาท และสำรองภาษีจ่ายที่เกี่ยวข้องกับคำพิพากษาของศาลฎีกาซึ่งมีคำตัดสินเอื้อ กรมสรรพากรสำหรับกรณีการคำนวณภาษีบีโอไอ 1.25 พันล้านบาท กำไรหลักในไตรมาสนี้อยู่ที่ 4.88 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,731% YoY และ 64% QoQ กำไรสุทธิเป็นไปตามคาด แต่กำไรหลักสูงกว่าคาด 42% เนื่องจากยอดขายและอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงกว่าคาด ค่าใช้จ่ายด้านการขายและบริหารและภาระภาษีจ่ายที่ต่ำกว่าคาด รวมถึงส่วนแบ่งกำไรจาก CPALL ที่สูงกว่าคาด รายได้รวมสูงกว่าคาด 2% อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 17.5% (สูงกว่าคาดที่ 17%) กำไรหลังหักภาษีสูงกว่าคาด 52%
กำไรหลักที่เติบโตก้าวกระโดด YoY เนื่องจากผลขาดทุนของธุรกิจกุ้งไทยที่ลดลง ผลประกอบการของธุรกิจต่างประเทศที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างมาก (ได้แก่ ตุรกี รัสเซีย อินเดีย มาเลเซีย ลาว กัมพูชา และซีพีพี) กำไรจากธุรกิจหมูที่เพิ่มขึ้น การควบรวมกิจการของ S&W เข้ามาตั้งแต่เดือนธ.ค. 2558 ส่วนแบ่งกำไรจาก CPALL ที่เพิ่มขึ้นก้าวกระโดด และการควบคุมค่าใช้จ่ายด้านการขายและบริหารที่ดีขึ้น สำหรับในส่วนของธุรกิจกุ้งไทย อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานฟื้นตัวจาก -13.4% ในไตรมาส 2/58 ไปเป็น 3.7% ในไตรมาส 2/59 ธุรกิจกุ้งไทยรายงานกำไรจากการดำเนินงานในไตรมาส 2/59 ที่ 305 ล้านบาท (ซึ่งพลิกกลับจากขาดทุนจากการดำเนินงานในไตรมาส 2/58 ที่ 758 ล้านบาทหรือกำไรเพิ่มขึ้น 87% QoQ) เนื่องจากผลผลิตกุ้งสำหรับทั้งอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้น (ซึ่งเกษตรกรผู้เลี้ยงมีความมั่นใจลงกุ้งมากขึ้น รวมถึงอัตราการรอดตายจากโรคอีเอ็มเอสที่เพิ่มขึ้น) ธุรกิจในประเทศตุรกีรายงานผลขาดทุนสุทธิที่ลดลง 73% YoY และ QoQ ในไตรมาส 2/59 เนื่องจากภาวะของอุตสาหกรรมไก่โดยรวมเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น การลดต้นทุนการดำเนินงาน ธุรกิจในประเทศรัสเซีย ลาว และกัมพูชารายงานกำไรเติบโตแบบก้าวกระโดด YoY เนื่องจากราคาหมูที่ปรับตัวสูงขึ้น ในขณะที่ธุรกิจในประเทศอินเดียมีกำไรเพิ่มสูงขึ้น YoY จากราคาไก่ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น
เราคาดธุรกิจกุ้งในประเทศไทยจะพลิกกลับมาเป็นกำไรสุทธิ (สำหรับบรรทัดสุดท้าย) ภายใน ไตรมาส 3/59 เนื่องจากเป็นช่วงไฮซีซั่นและผลผลิตกุ้งของอุตสาหกรรมโดยรวมที่เพิ่มสูงขึ้น อัตราการตายของกุ้งจากโรคอีเอ็มเอสลดลงเหลือเพียงแค่ 10% (จาก 35% ในช่วงต้นปี 2559) การปรับตัวเพิ่มขึ้นก้าวกระโดดของราคาไก่ที่ 44-45 บาท/กก. เป็นผลมาจากพันธุ์สัตว์ที่ขาดแคลน ความเสียหายของอุปทานจากโรคระบาดในไก่ และปริมาณยอดส่งออกที่เพิ่มสูงขึ้น เราคาดว่าราคาไก่มีแนวโน้มที่จะยืนในระดับสูงไปจนถึงปลายปี 2559 ถึงแม้ว่าราคาหมูจะอ่อนตัวลงในช่วง ไตรมาส 3/59 เนื่องจากเป็นช่วงโลว์ซีซั่น แต่ราคาไก่ที่ปรับสูงขึ้นในไตรมาส 3/59 จะช่วยชดเชยราคาหมูที่อ่อนตัวลงได้ ดังนั้นเราจึงมองว่ามาร์จิ้นของธุรกิจสัตว์บกในไทยยังน่าจะอยู่ในระดับสูง ต่อไปในไตรมาส 3/59
การปรับโครงสร้างธุรกิจสัตว์บกในไทยจะส่งผลให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายด้าน การขายและบริหารต่อรายได้ลดลง และมีเป้าหมายระยะยาวให้ลดลงเหลือ 9% เราคาดผลขาดทุนสุทธิของธุรกิจในตุรกีมีแนวโน้มลดลงในช่วงครึ่งหลังของปี 2559 โดยมีเป้าหมายที่จะให้ถึงจุดคุ้มทุนภายในช่วงต้นปี 2560 จากการลดสัดส่วนฟาร์มและไปเพิ่มสัดส่วนของธุรกิจอาหารสัตว์ให้มากขึ้น รวมถึงภาพอุตสาหกรรมรวมของธุรกิจไก่ในตุรกีที่ปรับตัวดีขึ้น เราคาดกำไรหลักไตรมาส 3/59 ที่ 5.5 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 220% YoY และ 13% QoQ เนื่องจากเป็นช่วงไฮซีซั่นของการส่งออกและธุรกิจสัตว์น้ำ การพลิกกลับมาเป็นกำไรสุทธิของธุรกิจกุ้งในประเทศไทย มาร์จิ้นของธุรกิจสัตว์บกที่เพิ่มขึ้น และผลประกอบการในต่างประเทศที่ดีขึ้นจากช่วงไฮซีซั่น