“เครดิต สวิส” คาดปีนี้ต่างชาติซื้อหุ้นไทย
เพิ่มอีก 2 แสนล้านบาท หนุน SET สิ้นปีแตะ 1,870 จุด
จับตาเลือกตั้ง เป็นปัจจัยเสี่ยงกดดันดัชนี

.
บล.เครดิต สวิส มองปี 66 ตลาดหุ้นไทยยังน่าสนใจลงทุน จากแนวโน้มเศรษฐกิจในประเทศฟื้น คาดฟันด์โฟลว์ไหลเข้าต่อเนื่องจากปีก่อนราว 2 แสนล้านบาท ประเมินเป้าดัชนีสิ้นที่ 1,870 จุด ชูหุ้นแบงก์-คอนซูมเมอร์ เด่นน่าลงทุน แนะจับตาเลือกตั้ง อาจเป็นปัจจัยหลักที่กดดันหุ้นไทย
.
นายวิริยะชัย จิตตวัฒนรัตน์ ที่ปรึกษาการลงทุน บริษัท หลักทรัพย์เครดิต สวิส (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทมีมุมมองต่อตลาดหุ้นไทยในเชิงบวก โดยคาดว่าฟันด์โฟลว์จะไหลเข้าหุ้นไทยต่อเนื่องจากปีก่อนราว 200,000 ล้านบาท จากปัจจัยบวกการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศและกำไรของบริษัทจดทะเบียนที่คาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้น
.
“แม้เศรษฐกิจโลกชะลอตัวจะส่งผลกระทบต่อภาคส่งออกของไทยบางส่วน แต่ธุรกิจท่องเที่ยวจะเป็นแรงขับเคลื่อนหลักที่ช่วยสนับสนุนให้เศรษฐกิจไทยในปี 2566 ฟื้นตัวได้ดี คาดว่าจะเห็นนักท่องเที่ยวเอเชียทยอยกลับมาเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนที่จะช่วยส่งเสริมการบริโภคภายในประเทศรวมถึงการลงทุนของภาคเอกชน ซึ่งจะช่วยชดเชยการชะลอตัวของภาคส่งออกได้”
.
โดยบริษัทให้เป้าหมายดัชนีสิ้นปี 2566 ที่ 1,870 จุด มีอัพไซด์จากปลายก่อนราว 12% ส่วนหุ้นน่าลงทุน คือ หุ้นกลุ่มธนาคาร และ หุ้นกลุ่ม Consumer ซึ่งได้รับประโยชน์จากการบริโภคภายในประเทศ รองลงมาเป็นหุ้นกลุ่ม Healthcare และ หุ้นกลุ่มท่องเที่ยว ที่ได้รับผลบวกจากการเปิดประเทศ ซึ่งราคาก็ปรับตัวขึ้นมาค่อนข้างสูงแล้ว
.
“แม้ปัจจุบันตลาดหุ้นไทยจะเทรดอยู่ในระดับ P/E ที่ค่อนข้างแพง แต่มองว่ายังคงน่าลงทุน และเป็นตลาดที่บริษัทชอบมากที่สุดในกลุ่มอาเซียน โดยภาพรวมดัชนีจะดีกว่าช่วง 3 ปีที่ผ่านมาแน่นอน”
.
ทั้งนี้ ประเมินว่าในช่วงเดือนเม.ย. 66 อาจเห็นแนวโน้มฟันด์โฟลว์ไหลออกหลังเข้ามาเก็งกำไรเพื่อรับผลตอบแทนจากเงินปันผล แต่มองว่าระยะยาวตลาดหุ้นยังคงน่าสนใจจากธีมการลงทุนที่ได้รับผลบวกจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศมากกว่า
.
อย่างไรก็ตาม การเลือกตั้งนับเป็นความเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทย เพราะหากย้อนดูสถิติช่วง 3 เดือนก่อนเกิดการเลือกตั้ง นับตั้งแต่ปี 2549 ตลาดหุ้นไทยมักจะ unperformed ตลาดหุ้นเอเชียมาโดยตลอด คาดว่าในช่วงไตรมาส 1 -2 ของปีนี้จะเห็นความชัดเจนของการเลือกตั้งมากขึ้น
.
ในส่วนของภาวะเงินเฟ้อ คาดว่าจะมีแรงกดดันต่อเศรษฐกิจไทยลดลง ดังนั้นธนาคารแห่งประเทศไทยจึงไม่จำเป็นต้องเร่งขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเพื่อสกัดกั้นเงินเฟ้อเหมือนสหรัฐฯ หรือยุโรป เพราะ ธปท. ยังคงมีมุมมองระมัดระวังการขึ้นดอกเบี้ยซึ่งอาจจะกระทบต่อภาวะหนี้ครัวเรียนที่อยู่ในระดับสูง ดังนั้นจึงมองว่านโยบายของ ธปท. ยังเป็นนโยบายที่สนับสนุนตลาดหุ้นไทยอยู่
.
ขณะที่อัตราแลกเปลี่ยน คาดว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและฟันด์โฟลว์ที่ไหลเข้าจะผลักดันให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น โดยประเมินค่าเงินบาทในปี 2566 จะแข็งค่าขึ้นราว 8% จากปีก่อน หรือคาดว่าจะอยู่ในระดับต่ำกว่า 33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ