ห้องเม่าปีกเหล็ก

แผนการลงทุนปี 2022

โดย Rubio
เผยแพร่ :
65 views

ตลาดหุ้นทั่วโลกได้เข้าสู่ภาวะปรับฐานอีกครั้ง หลังจากเมื่อวันศุกร์ที่ 26 พ.ย. องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ประกาศให้ “โอไมครอน” เชื้อไวรัสโควิดกลายพันธุ์ที่พบในประเทศแอฟริกาใต้เป็นสายพันธ์ุที่น่ากังวลตัวใหม่ สอดคล้องกับดัชนี VIX Index ซึ่งเป็นดัชนีที่สะท้อนความกลัวของนักลงทุนปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงถึง 54% ภายในหนึ่งวันทำการ นับเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงที่สุดในรอบ 8 เดือน

 

แต่ถ้าหากสังเกตสัญญา Vix Futures ที่ซื้อขายอยู่ในตลาดอนุพันธ์รุ่นอายุ 3 เดือนเปรียบเทียบกับสัญญา Vix Futures รุ่นอายุ 1 เดือน จะพบว่าสัญญาอายุ 1 เดือน ซึ่งเป็นสัญญาตัวใกล้ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าสัญญาอายุ 3 เดือนที่เป็นสัญญาตัวไกลค่อนข้างมาก สะท้อนนักลงทุนยังมองการปรับฐานของตลาดหุ้นจากเหตุการณ์ไวรัสโควิดกลายพันธุ์เป็นความผันผวนในระยะสั้นมากกว่าความผันผวนในระยะยาว

 

เนื่องจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ยังไม่สามารถสรุปได้ว่าไวรัสโควิดสายพันธุ์โอไมครอนจะส่งผลให้ผู้ติดเชื้อมีอาการป่วยรุนแรงมากกว่าสายพันธุ์อื่น ๆ หรือไม่ รวมถึงจำเป็นต้องใช้เวลาเพื่อศึกษาประสิทธิภาพของวัคซีนในการรับมือกับไวรัสดังกล่าว เราจึงคาดการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิดสายพันธุ์โอไมครอนไว้ 2 กรณี คือ

 

1) กรณีผู้ติดเชื้อมีอาการรุนแรงเท่ากับหรือน้อยกว่าสายพันธุ์เดลต้า การปรับฐานของตลาดจะเป็นเพียงแค่ระยะสั้น

 

2) กรณีผู้ติดเชื้อมีอาการเจ็บป่วยที่รุนแรงกว่าสายพันธุ์เดลต้า หรือเชื้อสามารถหลบหลีกการป้องกันของวัคซีนได้ ตลาดจะปรับฐานมากกว่าเนื่องจาก รัฐบาลในหลายประเทศมีความจำเป็นที่จะต้องกลับมาใช้มาตรการที่เข้มงวดขึ้น ระบบสาธารณสุขอาจมีความเสี่ยงที่จะไม่สามารถรับมือได้ ซึ่งหากมีการ Lockdown เกิดขึ้น ธนาคารกลางในแต่ละประเทศก็จะพบกับข้อจำกัดในการกระตุ้นเศรษฐกิจจากอัตราเงินเฟ้อที่ทรงตัวอยู่ในระดับสูง

 

เล็งเพิ่มลงเงิน QE Tapering

อีกหนึ่งประเด็นที่ตลาดให้ความสำคัญนอกเหนือจากความกังวลเรื่องเชื้อไวรัสโควิดสายพันธุ์โอไมครอน ก็คือมุมมองอัตราเงินเฟ้อของประธานเฟดที่เปลี่ยนแปลงไป โดยนายเจอโรม พาวเวล เลิกมองอัตราเงินเฟ้อเป็นเรื่องชั่วคราวเนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐฯฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่ง และมองแรงกดดันจากอัตราเงินเฟ้อจะเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องไปจนถึงปีหน้า พร้อมเตรียมที่จะพิจารณาลดการอัดฉีดสภาพคล่อง (QE Tapering) ให้เร็วขึ้นกว่าเดิม สอดคล้องกับการคาดการณ์ของตลาดที่มองว่าเฟดจะลดการอัดฉีดสภาพคล่องจากเดิมเดือนละ 15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นเดือนละ 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในการประชุมนโยบายการเงิน FOMC วันที่ 14-15 ธ.ค. ซึ่งทำให้เฟดมีแนวโน้มที่จะยุติโครงการซื้อพันธบัตร (QE) ได้ภายในไตรมาสที่ 1 ซึ่งเร็วกว่าเดิมที่ตลาดคาดไว้ในไตรมาสที่ 2 และอาจส่งผลให้เฟดขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้ถึง 3 ครั้งในปีหน้า

 

ปัจจุบันตลาดหุ้นทั่วโลกปรับฐานจากจุดสูงสุดลงมาแล้วประมาณ -5% โดยรับรู้ประเด็นความเสี่ยงของไวรัสโควิดและท่าทีของเฟดไปแล้วในระดับหนึ่ง แต่อย่างไรก็ตามการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดสายพันธุ์โอไมครอนยังมีความไม่แน่นอนอยู่ อีกทั้งสภาพคล่องในตลาดที่มีแนวโน้มลดลงจากการเร่งทำ QE Tapering ทำให้ตลาดมีความผันผวนสูง

 

แนะกลยุทธ์ “Selective Buy"

เพื่อเป็นการควบคุมความเสี่ยง เราแนะนำให้ใช้กลยุทธ์ "Selective Buy" เน้นลงทุนในหุ้นเติบโตคุณภาพดี ที่มีความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว เรามองว่าบริษัทเหล่านี้จะรักษาอัตราการเติบโตของกำไรได้สูงกว่าค่าเฉลี่ย และยังทนกับภาวะเศรษฐกิจในช่วงที่เงินเฟ้อและดอกเบี้ยเป็นขาขึ้นได้ดี สอดคล้องกับผลการดำเนินงานในช่วงกลางวัฏจักรเศรษฐกิจ (Mid-Cycle) ที่บ่งชี้ว่าตั้งแต่ครึ่งปีหลังที่ผ่านมา หุ้นทั่วโลกที่เป็นหุ้นเติบโตคุณภาพดี MSCI ACWI Quality Index สามารถให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า MSCI ACWI Index

 

สำหรับตลาดหุ้นเกิดใหม่ (Emerging Markets) เรามองว่ามีโอกาสที่จะฟื้นตัวได้ในปีหน้า จากการฟื้นตัวของตลาดหุ้นจีนที่มีสัดส่วนในดัชนี MSCI Emerging Markets สูงถึง 34% สอดคล้องกับผลสำรวจผู้จัดการกองทุนทั่วโลก (Global Fund Manager Survey) ที่มองว่าตลาดหุ้นเกิดใหม่จะให้ผลตอบแทนเป็นอันดับหนึ่งมากกว่าดัชนี S&P500 ของตลาดหุ้นสหรัฐฯในปี 2565

 

โดยปัจจุบัน Goldman Sachs คาดการณ์เศรษฐกิจจีนจะขยายตัว 4.8% ในปี 2565 และ 4.6% ในปี 2566 ซึ่งเป็นการขยายตัวที่ชะลอตัวลงจากปี 2564 แต่เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆที่ไม่นับรวมประเทศจีน (World ex-China) จะพบว่าเศรษฐกิจจีนยังคงขยายตัวได้ดีกว่าเศรษฐกิจโลกที่ระดับ 4.5% ในปี 2565 และ 3.2% ในปี 2566 หรือหากพิจารณาในแง่ของ Valuation ผ่าน Forward P/E ปี 2565 จะพบว่าตลาดหุ้นจีน ณ ระดับราคาปัจจุบันมีมูลค่าที่ค่อนข้างถูก อีกทั้งยังมี Upside ที่สูงเป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนในระยะยาว

 

เรามองว่าการดำเนินมาตรการที่เข้มงวดของรัฐบาลจีน เช่น การป้องกันการผูกขาดทางการค้า การควบคุมการใช้ข้อมูลของผู้บริโภค รวมถึงนโยบายขจัดความเหลื่อมล้ำทางสังคม (Common Prosperity) ได้ดำเนินการต่อเนื่องมาเป็นระยะเวลากว่า 1 ปีแล้ว นับเป็นระยะเวลาที่ยาวนานเมื่อเทียบกับในอดีตที่ผ่านมา หากในระยะข้างหน้ารัฐบาลจีนมีการผ่อนคลายมาตรการที่เข้มงวดลงเพียงเล็กน้อย ก็อาจทำให้ตลาดหุ้นจีนมีโอกาสการเกิด “Positive Surprise” ตอบรับในเชิงบวกได้เหมือนกัน

 

อย่างไรก็ตามนโยบายของรัฐบาลจีนเป็นสิ่งที่ไม่สามารถคาดเดาได้ล่วงหน้า เราแนะนำเราให้มองหาบริษัทที่ได้รับประโยชน์ในระยะยาวสอดคล้องกับการสนับสนุนจากนโยบายของภาครัฐอย่างเช่น อุตสาหกรรมพลังงานสะอาด และอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ เป็นต้น

 

คอลัมน์: Wealth Up with MFC

โดย ไชยวัฒน์ คมโสภาพงศ์

บลจ.เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน)


Rubio