
ประมวลผลกระทบ PTTEP กรณีหยุดผลิตแหล่ง S1 แหล่งผลิตบนบกที่ใหญ่สุดของไทย ขณะที่ผู้บริหารยังตอบไม่ได้ต้องหยุดนานแค่ไหน ขณะที่ยังเดินหน้าแผนลงทุนในพื้นที่ต่อไป ด้านนักวิเคราะห์คาดในปีนี้กระทบกำไร 6-7% ความเสี่ยงจะหนักขึ้นหากต้องหยุดผลิตถาวรอาจต้อง Write off เงินลงทุน ฉุดมูลค่าหุ้นหายราว 19 บาท
หุ้น PTTEP เริ่มเหวี่ยงกลับมาติดลบหลังฟื้นตัวได้ช่วงเช้าขึ้นไปยืนบวกที่ 87.50 บาท จากราคาปิดวานนี้ที่ 86.75 บาท และล่าสุดยืนติดลบที่ 86.50 บาท ลดลง 0.25 บาท หรือ 0.29%
บล.ทิสโก้ วิเคราะห์ถึงเหตุการณ์ที่ PTTEP ได้ทำการหยุดการผลิตแหล่ง S1 เนื่องจากคำสั่งของศาลปกครองสูงสุด คาดกำลังการผลิตที่ลดลงจะกระทบต่อประมาณการของฝ่ายวิจัย 1.3-2 พันล้านบาท ในปี 2017-18 ราว 6-7% โดยคาดว่ากระทบยอดขายลดลง 4-6%
วานนี้ (5 มิ.ย.) PTTEP ได้รายงานต่อ SET ว่า ได้ทำการหยุดการผลิต.oแหล่ง S1 เนื่องจากคำสั่งของศาลปกครองสูงสุด (1 มิ.ย.) ที่ให้ยกเลิกการใช้ที่ ส.ป.ก. ส่งผลให้ PTTEP คาดว่ากำลังการผลิตจากแหล่ง S1 จะลดลงจาก 27.4kboed เป็น 15kboed และด้วยกำลังการผลิตของ LPG และก๊าซธรรมชาติที่ลดลง โดยจากการประชุมผู้บริหารยังไม่ทราบว่าจะหยุดผลิตนานแค่ไหน แต่แผนการลงทุนในพื้นที่ยังคงดำเนินต่อไป
ทิสโก้ มองถึงผลกระทบต่ออุตสาหกรรม โครงการ S1 เป็นแหล่งผลิตบนบกที่ใหญ่สุดของไทย โดย PTTEP ถือหุ้น 100% และในปี 2016 กำลังการผลิตของ S1 คิดเป็น 76% ของกำลังการผลิตบนบก และ 16% ของกำลังการผลิตรวม
น้ำมันดิบจากแหล่ง S1 จะนำไปใช้ในโรงกลั่นคิดเป็น 2.8% ของสต็อก โดยที่ BCP มีสัดส่วนสูงสุด 9.5% ของน้ำมันดิบในปี 2016 จากการคุยกับ BCP ของเรากล่าวว่าการหยุดผลิตของ S1 จะไม่กระทบต่อการกลั่นของบริษัท โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการหาน้ำมันมาทดแทน และยังไม่ได้ยืนยันว่ามีการทำสัญญาใดๆ กับ PTT ในกรณีหาน้ำมันในต้นทุนที่เท่าเดิมหรือไม่
พร้อมแนะนำให้ “ถือ” BCP และ PTTEP โดยมีมูลค่าที่เหมาะสม 28 บาท (PBV 1.7x ปี 17F) และ 90 บาท (DCF )ตามลำดับ แนะนำให้ “ซื้อ” PTT โดยมีมูลค่าที่เหมาะสม 400 บาท (SOTP)
ระยะสั้นกระทบน้อย-เสี่ยง downside risk ในอนาคต
ด้านบล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ คาดผลกระทบจำกัดในระยะสั้น แต่ยังมี downside risk ในอนาคต เนื่องจากเป้าหมายปริมาณขายทั้งปี 60 ลดลงเพียง -4-5%
ขณะที่ต้นทุนผลิตยังคงเดิมใกล้เคียงกับต้นทุนผลิตเฉลี่ยของบริษัท (unit cost=$29-30/บาร์เรล) และคาดค่าปรับเล็กน้อย หากไม่สามารถส่งก๊าซครบตามสัญญา เนื่องจากเป็นเหตุสุดวิสัย
อย่างไรก็ตาม มองว่าอาจมีความเสี่ยงทางขาลงในอนาคต หากโครงการ S1 จะต้องหยุดผลิตเป็นการถาวรแทนการหยุดชั่วคราว
บล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ มองกรณีนี้ว่า จะส่งผลลบหลายประการต่อ PTTEP ดังนี้ 1) ปริมาณขายของ S1 ลดลง -18 KBOED/ปี และ CAPEX ลดลงตามไปด้วย $150m ในช่วงปี 61-64 2) ปริมาณสำรองปิโตรเลียมของบริษัทลดลง 3) ผลขาดทุนจากการตั้งด้อยค่าของสินทรัพย์ S1 ซึ่งปัจจุบันมีมูลค่าทางบัญชีสุทธิ (NBV) ราว $450m และเป็นส่วนของสินทรัพย์ที่อยู่ในพื้นที่ สปก. $50m และบางส่วนของระบบท่อที่ภูฮ่อม 4) ค่าปรับจาการส่งก๊าซไม่ครบตามสัญญา
พร้อมปรับลดประมาณการปี 60 เพื่อสะท้อนผลกระทบจากกรณีดังกล่าว เราจึงปรับกำไรปี 60 ลดลง -6% เป็น 18,283 ลบ. โดยใช้สมมติฐานการผลิตของโครงการ S1 ที่ 12 KBOED ทำให้ปริมาณขายปี 60 ลดลงเป็น 288 KBOED
กรณีแย่สุดหยุดผลิต S1 ฉุดมูลค่าหุ้นหาย 19บาท
บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส คาดผลกระทบจากการหยุดผลิตทั้งปีจะคิดเป็นประมาณ 5% ของปริมาณการผลิตเป้าหมาย และ 7-8% ของประมาณการการผลิตปี 60-61 ของเรา แต่ถ้าหยุดชั่วคราวผลกระทบก็น้อยกว่านั้น
ส่วนกรณีที่แย่สุด คือ ต้องหยุดผลิตโครงการ S1 ในพื้นที่ส.ป.ก.ดังกล่าวตลอดไป ทาง PTTEP อาจจะต้อง Write off เงินลงทุนก้อนหนี้ราว 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ประมาณ 1.7 พันล้านบาท คิดเป็น 0.44 บาท/หุ้น (8% ของประมาณการ EPS ปี 60) และเมื่อไม่มีรายได้จากส่วนนี้ โดยไม่มีส่วนอื่นเข้ามาเสริมแทน จะทำให้มูลค่าหุ้น PTTEP ที่ประเมินด้วยวิธี DCF หายไป 19 บาท/หุ้น หรือ 18% ของราคาเป้าหมายตามพื้นฐานที่ให้ไว้ในปัจจุบันที่ 105 บาท/หุ้น)
สำหรับผลกระทบต่อ PTT ที่ถือหุ้น PTTEP อยู่ 65% กรณีที่แย่สุด คือ มูลค่าหุ้น PTTEP ต่ำลง 18% ดังข้างต้น จะทำให้มูลค่าหุ้นของ PTT ลดลง 17 บาท/หุ้น หรือหายไป 4% จากราคาเป้าหมายปัจจุบันที่ 443 บาท/หุ้น