ห้องเม่าปีกเหล็ก

บทเรียนหุ้น TTCL จากอดีตหุ้น 10 เด้ง สู่แผนฟื้นฟู

โดย ัyoda
เผยแพร่ :
39 views

บทเรียนหุ้น TTCL จากราคา 57.25 บาท เหลือ 0.23 บาท !

.

 

TTCL หุ้นไทยรายล่าสุดที่ขอฟื้นฟูกิจการ หลังแบกหนี้มโหฬารกว่า 1.4 หมื่นล้านบาท สวนทางผลประกอบการที่ขาดทุนต่อเนื่อง สูบสภาพคล่องการเงินพัง ผิดชำระหุ้นกู้ พบราคาหุ้นเคยพุ่งกว่า 10 เด้ง ทำไฮถึง 57.25 บาท แต่ล่าสุดเหลือ 0.23 บาท เท่านั้น

.

บมจ.ทีทีซีแอล (TTCL) เดิมชื่อ บมจ.โตโย-ไทย คอร์ปอเรชั่น (TTCL) ก่อตั้งเมื่อ 24 เม.ย.2528 ดำเนินธุรกิจให้บริการด้านการออกแบบวิศวกรรม การจัดหาเครื่องจักรและอุปกรณ์ และการก่อสร้างโรงงานแบบครบวงจร ให้แก่ ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมพลังงาน ปิโตรเคมี และเคมีภัณฑ์ ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ภายใต้การร่วมทุนกันระหว่าง "Toyo Engineering Corporation (TEC)" จากประเทศญี่ปุ่น และ บมจ.อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ (ITD) สัดส่วน 49 : 51% ทุนจดทะเบียน 20 ล้านบาท

.

หลังธุรกิจดำเนินมากว่า 24 ปี ก็ได้เวลาเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (SET) เพื่อระดมทุนขยายธุรกิจ เมื่อ 16 มิ.ย.52 โดยขาย IPO จำนวน 130 ล้านหุ้น ราคา 4.25 บาท/หุ้น (พาร์ 1 บาท/หุ้น)

.

ช่วง 4-5 ปีแรกของ TTCL ในตลาดหุ้นไทยค่อนข้างสวยหรู เพราะผลประกอบการเติบโตต่อเนื่อง กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นทุกปี โดยสิ้นปี 52 ทำได้ 325 ล้านบาท, สิ้นปี 53 ทำได้ 337 ล้านบาท, สิ้นปี 54 ทำได้ 399 ล้านบาท, สิ้นปี 55 ทำได้ 546 ล้านบาท และสิ้นปี 56 ทำได้ 655 ล้านบาท

.

แน่นอนว่าผลงานโดดเด่น ราคาหุ้นก็ต้องวิ่งตาม จากราคา IPO ที่ 4.25 บาท ใช้เวลาเพียงปีกว่าบวกไประดับเกิน 100% ปลายปี 53 ทำจุดสูงสุดแรกที่ 10.40 บาท แม้หลังจากนั้นจะปรับลดลงบ้าง แต่ก็กลับขึ้นไปอยู่แถว 10-11 บาทได้ แต่หลังจากปลายปี 54 ที่ทะลุ 11 บาท หุ้น TTCL ก็กลายเป็นขาขึ้นชัดเจนร่วม 2 ปี จนขึ้นไปทำจุดสูงสุดตลอดกาลที่ 57.25 บาท เมื่อกลางปี 56 หากคิดจากระดับราคา IPO หุ้น TTCL บวกไปกว่า 1,247%

.

แต่หลังจากขึ้นไปถึงจุดสุดยอดได้ไม่นาน ราคาหุ้น TTCL ก็เริ่มมีแรงขายหนัก ๆ ออกมา สิ้นปี 56 เหลือ 34 บาท ระหว่างปี 57 แม้ราคาอาจจะฟื้นขึ้นไปได้ถึง 41 บาท แต่ก็แค่ช่วงสั้น ๆ เพราะหลังจากงบการเงินปี 57 ออกมาพบว่า กำไรสุทธิลดลงเหลือ 460 ล้านบาท ทีนี้ก็โดนถล่มขายต่อเนื่อง ตอกย้ำโดยกำไรสุทธิปี 58 ลดลงเหลือ 423 ล้านบาท, ปี 59 ลดลงเหลือ 400 ล้านบาท, ปี 60 เหลือ 53 ล้านบาท และปี 61 พลิกขาดทุนมโฟฬารถึง 1,980 ล้านบาท

.

ราคาหุ้นไม่ต้องพูดถึงลงตลอดทาง ต้นปี 61 หลุดต่ำกว่า 10 บาทอีกครั้งในรอบประมาณ 7 ปี แม้จะมีดีดฟื้นได้บ้างหลังจากนั้นแต่ก็ไม่นาน เพราะผลประกอบการปี 62 ยังขาดทุนต่อเนื่องอีก 206 ล้านบาท

.

อย่างไรก็ตามผลประกอบการของ TTCL เหมือนจะฟื้นตัวกลับมาได้แล้ว เพราะปี 63 พลิกมีกำไรสุทธิ 210 ล้านบาท ต่อเนื่องปี 64 มีกำไรเติบโตเป็น 289 ล้านบาท และปี 65 กำไรทำสถิติสูงสุดที่ 700 ล้านบาท แต่ราคาหุ้นกลับไม่ตอบสนองขึ้น ๆ ลง ๆ อยู่แถว 4-5 บาท ไม่สามารถขึ้นไปเหนือ 10 ได้อีกเลย

.

ธุรกิจของ TTCL เหมือนวนลูป หลังจากกำไรทำสถิติมักจะดรอปลงเสมอ เพราะปี 66 รายงานกำไรลดลงเหลือ 250 บาท ขณะที่ปี 67 พลิกขาดทุนอีกครั้งที่ 466 ล้านบาท จนมาดิ่งอีกรอบในงบครึ่งแรกปี 68 ที่ขาดทุน 1,793 ล้านบาท

.

แม้ตอนพลิกกลับมากำไรรอบปี 63-65 ราคาหุ้นไม่ค่อยตอบสนอง แต่ตอนกำไรลดจนถึงพลิกขาดทุนช่วงเกือบ 3 ปีหลัง ราคาหุ้นตอบสยองได้ดีมาก เพราะลดลงต่อเนื่องจนหลุดต่ำกว่า 1 บาท เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา

.

ล่าสุด 6 พ.ย.68 เหลือเพียง 0.23 บาท เท่านั้น !!!

.

ทั้งนี้ ระหว่างการเดินทางของ TTCL เริ่มมีการเปลี่ยนผู้ถือหุ้นใหญ่ช่วงปี 61 ซึ่งมีการขายหุ้นเพิ่มทุนให้แก่บุคคลในวงจำกัด (PP) แก่ "Sojittz Coporation (Sojitz)" จำนวน 56 ล้านหุ้น ขึ้นเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่แทน "Toyo Engineering Corporation (TEC)" (ส่วน ITD ปรากฏชื่อเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ครั้งสุดท้าย ณ วันปิดสมุด 29 ส.ค.59)

.

เท่ากับว่ากลุ่มผู้ก่อตั้งอย่าง "Toyo Engineering Corporation (TEC)" และ บมจ.อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ (ITD) ทยอยถอนตัวตั้งแต่ช่วงขาดทุนหนักรอบแรกแล้ว

.

หรือแม้แต่ "Sojittz Coporation (Sojitz)" ก็ไม่ปรากฏชื่อเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่แล้ว (ครั้งสุดท้ายที่มีชื่อคือ วันปิดสมุด 19 มี.ค.64)

.

ข้อมูลล่าสุด ณ วันปิดสมุด 14 มี.ค.68 กลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ 10 อันดับแรก ประกอบด้วย "กิลเบิร์ต เอ็น วอง" สัดส่วน 7.64%, "โกลบอล บิสซิเนส แมเนจเมนท์" สัดส่วน 6.27%, "MR.HIRONOBU IRIYA" สัดส่วน 5.55%, "DAIWA CAPITAL MARKETS SINGAPORE LIMITED" สัดส่วน 5%, "สุรัตนา ตฤณรตนะ" สัดส่วน 2.79%, "สุเทพ พัฒนสิน" สัดส่วน 2.78%, "เจียรนัย เลิศรัชต์กุล" สัดส่วน 2.76%, "มานิคา-ไทยคอร์ปอเรชั่น" สัดส่วน 2.35%, "สุชีพ เจริญวงศ์" สัดส่วน 1.57% และ "ไทยเอ็นวีดีอาร์" สัดส่วน 1.27%

.

ทั้งนี้ TTCL มีจำนวนผู้ถือหุ้นรายย่อย ณ 14 มี.ค.68 รวม 7,020 ราย คิดเป็น Free Float รวม 70.03%

.

ขณะที่พบว่า TTCL ถูก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ปรับลดอันดับเครดิตองค์กร ถึง 5 ครั้งในรอบ 4 เดือน เพราะแนวโน้มผลการดำเนินงานอ่อนแอ และสภาพคล่องทางการเงินเปราะบาง

.

สัญญาณเริ่มจาก 11 ก.ค.68 ลดอันดับเครดิตเป็น "BB+" จากเดิม "BBB-" และปรับแนวโน้มอันดับเครดิตเป็น “Negative” จาก “Stable” สะท้อนถึงผลการดำเนินงานของบริษัทที่อ่อนแอกว่าคาดการณ์ จากต้นทุนที่สูงเกินกว่าประมาณการอย่างมีนัยสำคัญในโครงการขนาดใหญ่หลายโครงการ และมูลค่างานในมือที่รอส่งมอบ (Backlog) ที่ลดลง

.

ต่อมา 3 ก.ย.68 ถูกลดอันดับเครดิตเหลือ "BB-" หลังงบการเงินครึ่งแรกปี 68 ขาดทุนถึง 1,793 ล้านบาท โดยแนวโน้มอันดับเครดิตเป็น "Negative" บ่งชี้ถึงแนวโน้มผลการดำเนินงานที่จะถดถอยลงอีก เนื่องจากความล่าช้าในการได้งานโครงการใหม่ รวมผลขาดทุนเพิ่มเติมอันเนื่องมาจากต้นทุนที่บานปลาย หรือ การเพิ่มขึ้นของการตั้งผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (ECL)

.

จากนั้น 8 ต.ค.68 ถูกลดอันดับเครดิตเหลือ "B+" หลัง TTCL เสนอขอขยายระยะเวลาครบกำหนดไถ่ถอนของหุ้นกู้จำนวน 5 ชุด (TTCL25OA TTCL263A TTCL269A TTCL277A และ TTCL281A มูลค่ารวม 2,544 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยครบกำหนด 27 ต.ค.68-30 ม.ค.71) ออกไปอีก 6 ปี

.

จน 24 ต.ค.68 ถูกลดอันดับเครดิตเหลือ "C" เพราะมีความเป็นไปได้ที่ TTCL จะผิดนัดชำระหนี้เพิ่มสูงขึ้น หลังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงกับผู้ถือหุ้นกู้เกี่ยวกับข้อเสนอขยายระยะเวลาครบกำหนดไถ่ถอนได้ เพิ่มแรงกดดันให้ต้องรับมือกับการชำระหนี้หุ้นกู้ที่กำลังจะครบกำหนดเร็ว ๆ นี้ ซึ่งสวนทางกับกระแสเงินสดที่อ่อนแอและการเข้าถึงแหล่งเงินทุนจากตลาดสินเชื่อที่จำกัดเพราะฐานะทางการเงินเปราะบาง

.

ล่าสุดถูกลดอันดับเครดิตเป็น "D" แล้ว หลังไม่สามารถชำระคืนหุ้นกู้มูลค่า 389.9 ล้านบาท (TTCL25OA) ที่ครบกำหนดในวันที่ 27 ต.ค.68 ได้ จากการขาดสภาพคล่องทางการเงิน

.

เมื่อ 31 ต.ค.68 ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทมีมติ อนุมัติยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการและเสนอผู้จัดทำแผนฟื้นฟูกิจการต่อศาลล้มละลายกลาง ภายใต้พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 โดยระบุสาเหตุดังนี้

.

1.ประสบปัญหาขาดสภาพคล่องทางการเงิน ไม่มีกระแสเงินสดเพียงพอที่ใช้ดำเนินธุรกิจ เนื่องจากคู่ค้าผิดนัดชำระเงินค่าก่อสร้าง รวมเป็นจำนวนกว่าหลายพันล้านบาท (ซึ่งขณะนี้ยังอยู่ในระหว่างการเจรจาและฟ้องคดีกับเจ้าของโครงการดังกล่าว)

.

2.งานก่อสร้างใหม่ลดลง เนื่องจากเจ้าของโครงการมีการยกเลิกการลงทุน และชะลอการลงทุน เพราะต้นทุนในการดำเนินธุรกิจก่อสร้างปรับตัวสูงขึ้นเป็นอย่างมาก

.

3.มีหนี้สินที่ถึงกำหนดชำระ และไม่สามารถชำระให้แก่เจ้าหนี้ได้อีกจำนวนหลายราย ได้แก่ สถาบันการเงิน บริษัทคู่ค้าและเจ้าหนี้หุ้นกู้

.

4.กิจการของบริษัทมีความสำคัญต่อภาคอุตสาหกรรมก่อสร้างหนัก เช่น ปิโตรเคมี และ โรงไฟฟ้า ในประเทศไทย เนื่องจากบริษัทเป็นหนึ่งในบริษัทชั้นนำในวงการธุรกิจการออกแบบวิศวกรรม การจัดหาเครื่องจักรและอุปกรณ์ และ การก่อสร้างโรงงานแบบครบวงจร มาเป็นเวลายาวนานกว่า 40 ปี

.

5.บริษัทมีความสำคัญต่อบุคคลอื่น หรือ ธุรกิจที่เกี่ยวข้องและมีผู้มีส่วนได้เสียจำนวนมาก เช่น บริษัทผู้รับเหมารายย่อย บริษัทค้าวัสดุก่อสร้าง ห้างร้านที่จัดจำหน่ายสินค้าให้แก่บริษัท รวมถึงผู้ถือหุ้นสามัญและผู้ถือหุ้นกู้

.

6.การฟื้นฟูกิจการจะช่วยการปรับโครงสร้างหนี้กับเจ้าหนี้กลุ่มต่างๆ ได้แก่ เจ้าหนี้สถาบันการเงิน เจ้าหนี้หุ้นกู้ และ เจ้าหนี้การค้า ให้มีความเป็นธรรมแก่เจ้าหนี้ทุกกลุ่ม และ สามารถดำเนินการได้ภายในกรอบที่กฎหมายกำหนด

.

ขณะที่แนวทางของการฟื้นฟูกิจการเบื้องต้นมีรายละเอียด ดังต่อไปนี้

.

1.เจรจากับเจ้าหนี้กลุ่มต่าง ๆ เช่น สถาบันการเงิน เจ้าหนี้หุ้นกู้ และ เจ้าหนี้การค้า เพื่อปรับโครงสร้างหนี้ค้างในการชำระ เช่น การขอขยายระยะเวลาชำระหนี้ การผ่อนผันชำระคืนเงินต้น เพื่อให้สอดคล้องกับกระแสเงินสดและแหล่งเงินทุนที่จะสามารถนำมาชำระหนี้ได้

.

2.การหาเงินทุนเพิ่มเติม ทั้งในรูปแบบของการหาเงินกู้ หรือ การหาผู้ร่วมทุนรายใหม่ เพื่อให้สามารถชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ได้เร็วขึ้น อันจะทำให้เจ้าหนี้ได้รับเป็นประโยชน์สูงสุด

.

3.การขายสินทรัพย์เพื่อนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้

.

4.ปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินธุรกิจ โดยขยายขอบเขตการให้บริการธุรกิจที่เน้นงานด้านบริการวิศวกรรม (Engineering Services) เช่น งานออกแบบส่วนหน้า (FEED) งานบริหารโครงการ (PM) และ งานเดินเครื่องและบำรุงรักษา(O&M) ซึ่งงานให้บริการดังกล่าวไม่มีต้นทุนทางการเงินที่สูง และ มีอัตราการทำผลกำไรสูงกว่าธุรกิจ EPC

.

5.รับเงินปันผลของบริษัทย่อยของบริษัทได้แก่ บริษัท "ทีทีซีแอล (ประเทศเวียดนาม)", "เอ็นที ไบโอแมส โปรดักส์" และ "อริยะ ไปโอฟูแอล" เพื่อนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้

.

ทั้งนี้ข้อมูลแสดงฐานะการเงินเฉพาะกิจการของบริษัทฯ ณ 30 มิ.ย.68 มีส่วนของผู้ถือหุ้นรวม 722.19 ล้านบาท หนี้สินรวม 14,336.35 ล้านบาท และ สินทรัพย์รวม 15,058.54 ล้านบาท ถึงแม้ว่าบริษัทจะมีสินทรัพย์มากกว่าหนี้สิน แต่มีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดรวมเพียง 587.60 ล้านบาท ซึ่งสินทรัพย์ส่วนใหญ่ไม่สามารถแปลงเป็นเงินสดได้ภายในระยะสั้น

.

ดังนั้นการเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการของบริษัทจะช่วยให้บริษัทแก้ไขปัญหาสภาพคล่องของบริษัทได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีกฎหมายรองรับ และ ให้ความคุ้มครองแก่ผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายอย่างเป็นธรรม อีกทั้ง บริษัทยังสามารถประกอบธุรกิจต่อไปได้ในระหว่างที่อยู่ในกระบวนการฟื้นฟูกิจการ เพื่อการแก้ไขปัญหาของบริษัท และ สร้างผลกำไรจากการดำเนินกิจการต่อไปในอนาคตได้อย่างมั่นคง

 

 

ที่มา..  efinanceThai TV

 


ัyoda