ห้องเม่าปีกเหล็ก

เจาะลึกความสัมพันธ์ 5 สินทรัพย์: หุ้น, ค่าเงิน, ทองคำ, น้ำมัน, พันธบัตร

โดย การ์ตูน
เผยแพร่ :
51 views

เจาะลึกความสัมพันธ์ 5 สินทรัพย์: หุ้น, ค่าเงิน, ทองคำ, น้ำมัน, พันธบัตร

 

สวัสดีค่ะทุกคน วันนี้เราได้ทำความรู้จักนิสัยใจคอของ 5 สินทรัพย์หลักกันค่ะ และเราจะใช้ความรู้นี้มาสร้างเกราะป้องกันให้พอร์ตการลงทุนของเราได้อย่างไร... โพสต์นี้สำหรับนักลงทุนมือใหม่นะคะ

ลองจินตนาการว่าสินทรัพย์ทั้ง 5 นี้ไม่ได้นั่งอยู่ในห้องเดียวกันเฉยๆ แต่กำลังเล่น "เก้าอี้ดนตรี" กันอยู่ตลอดเวลา โดยมี "สภาวะเศรษฐกิจ" เป็นคนคุมเพลง เมื่อเพลงเปลี่ยน...ทุกคนก็ต้องลุกขึ้นหาที่นั่งใหม่ การเข้าใจว่าใครจะลุก ใครจะนั่ง และใครจะวิ่งไปหาใคร คือกุญแจสำคัญสู่การลงทุนที่แข็งแกร่งค่ะ

 

เจาะลึกนิสัยตัวละครแต่ละตัว

ก่อนอื่นเลยเราต้องมาทำความรู้จักตัวละครแต่ละตัวให้ลึกถึงแก่นกันเลยค่ะ ว่าอะไรคือสิ่งที่ขับเคลื่อนพวกเขาจริงๆ

 

หุ้น (The Growth Seeker - นักแสวงหาการเติบโต):

หุ้นคือตัวแทนความเป็นเจ้าของในบริษัท ดังนั้นราคาของมันจึงผูกติดอยู่กับ "ความสามารถในการทำกำไร" และ "ความคาดหวัง" ของนักลงทุนต่ออนาคตของบริษัทนั้นๆ ค่ะ

 

ปัจจัยขับเคลื่อนระดับจุลภาค (Micro):

- ผลประกอบการ: ตัวเลข "กำไรต่อหุ้น" (EPS) และ "รายได้" (Revenue) ในรายงานประจำไตรมาสคือหัวใจสำคัญ หากออกมาดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ ราคาหุ้นก็มักจะพุ่งขึ้น

- การประเมินมูลค่า (Valuation): อัตราส่วน P/E (Price-to-Earnings) เป็นตัววัดความถูกแพงของหุ้นที่นิยมใช้กัน มันบอกเราว่านักลงทุนยอมจ่ายเงินกี่บาทเพื่อให้ได้กำไรจากหุ้นนั้น 1 บาท

- ข่าวเฉพาะตัวของบริษัท: การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่, การเปลี่ยนผู้บริหาร, หรือการควบรวมกิจการ ล้วนส่งผลโดยตรงต่อราคาหุ้นค่ะ

 

ปัจจัยขับเคลื่อนระดับมหภาค (Macro):

- ภาวะเศรษฐกิจ: ตัวเลข GDP ที่เติบโต, อัตราการว่างงานที่ต่ำ, และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่สูง ล้วนเป็นลมใต้ปีกที่ส่งให้ตลาดหุ้นโดยรวมทะยานขึ้น

- นโยบายธนาคารกลาง: การลดดอกเบี้ยช่วยลดต้นทุนทางการเงินของบริษัท และการทำ QE (Quantitative Easing) หรือการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าระบบ ก็เป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นอย่างยิ่งค่ะ

 

พันธบัตร (The Safety Net - ตาข่ายนิรภัย):

พันธบัตรคือตราสารหนี้อย่างนึง นักลงทุนจะอยู่ในสถานะ "เจ้าหนี้" ของรัฐบาลหรือบริษัทเอกชน และได้รับผลตอบแทนเป็นดอกเบี้ยที่แน่นอน ความเสี่ยงจึงต่ำกว่าหุ้นมากนั่นเองค่ะ

 

ความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย (Interest Rate Risk): นี่คือปัจจัยหลักเลยค่ะ ราคาพันธบัตรเคลื่อนไหวสวนทางกับอัตราดอกเบี้ยเสมอ เพราะเมื่อดอกเบี้ยในตลาดสูงขึ้น พันธบัตรรุ่นใหม่ที่ออกมาก็จะให้ดอกเบี้ยสูงขึ้นด้วย ทำให้พันธบัตรเก่าที่เราถืออยู่ (ที่ให้ดอกเบี้ยต่ำกว่า) มีความน่าสนใจลดลง ราคาในตลาดรองจึงต้องปรับตัวลงเพื่อชดเชยนั่นเอง

 

ความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อ (Inflation Risk): เงินเฟ้อคือศัตรูตัวร้ายของนักลงทุนพันธบัตร เพราะดอกเบี้ยที่ได้รับมาเป็นจำนวนเงินที่ "คงที่" (Fixed) แต่เงินเฟ้อทำให้ "อำนาจซื้อ" ของดอกเบี้ยนั้นลดลง

 

ความเสี่ยงด้านเครดิต (Credit Risk): สำหรับตราสารหนี้เอกชน มีความเสี่ยงที่บริษัทผู้ออกอาจไม่สามารถจ่ายคืนเงินต้นหรือดอกเบี้ยได้ พันธบัตรจากบริษัทที่มั่นคง (ได้เรตติ้งสูง เช่น AAA) จะให้ดอกเบี้ยต่ำกว่าพันธบัตรจากบริษัทที่มีความเสี่ยงสูงกว่า (เรตติ้งต่ำ) เพื่อชดเชยความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นค่ะ

 

ทองคำ (The Old Guard - ผู้พิทักษ์ดั้งเดิม):

ทองคำคือสินทรัพย์ที่ไม่มีผลตอบแทนในตัวเอง (ไม่จ่ายดอกเบี้ยหรือเงินปันผล) คุณค่าของมันมาจากความเชื่อมั่นของผู้คนที่มีต่อมันในฐานะ "สินทรัพย์รักษามูลค่า" (Store of Value) มานับพันปี

 

ต้นทุนค่าเสียโอกาส (Opportunity Cost): เนื่องจากทองคำไม่สร้างกระแสเงินสด ในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยสูง การถือทองคำจึงมี "ต้นทุนค่าเสียโอกาส" สูง เพราะนักลงทุนสามารถนำเงินไปฝากหรือลงทุนในพันธบัตรเพื่อรับดอกเบี้ยที่น่าสนใจและปลอดภัยได้แทน

 

อัตราผลตอบแทนที่แท้จริง (Real Yield): นี่คือปัจจัยขับเคลื่อนที่สำคัญที่สุดค่ะ (Real Yield = อัตราผลตอบแทนพันธบัตร - อัตราเงินเฟ้อ) เมื่อใดก็ตามที่ Real Yield ติดลบ (เช่น ดอกเบี้ย 1% แต่เงินเฟ้อ 3%) การถือเงินสดหรือพันธบัตรจะทำให้เงินของคุณด้อยค่าลง ในสถานการณ์เช่นนี้ ทองคำจะเปล่งประกายเจิดจ้าในฐานะที่หลบภัย

 

ความต้องการจากธนาคารกลาง: ธนาคารกลางทั่วโลกเข้าซื้อทองคำเพื่อเป็นทุนสำรองระหว่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นแรงหนุนสำคัญต่อราคาทองคำ

 

ความกลัวและความไม่แน่นอน: ทองคำคือ "มาตรวัดความกลัว" ของโลก เมื่อเกิดวิกฤตภูมิรัฐศาสตร์, สงคราม, หรือความตื่นตระหนกในตลาดการเงิน เงินทุนจะไหลเข้าสู่ทองคำเสมอค่ะ

 

น้ำมัน (The Lifeblood - เส้นเลือดใหญ่ของเศรษฐกิจ):

ราคาน้ำมันคือภาพสะท้อนที่ชัดเจนที่สุดของกิจกรรมทางเศรษฐกิจโลกและความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์

 

ฝั่งอุปสงค์ (Demand): ถูกขับเคลื่อนโดยการเติบโตของเศรษฐกิจโลกโดยตรง โดยเฉพาะภาคการผลิตและการขนส่ง นอกจากนี้ยังมีปัจจัยตามฤดูกาล เช่น ความต้องการใช้น้ำมันเพื่อทำความร้อนในฤดูหนาว หรือการเดินทางที่เพิ่มขึ้นในฤดูร้อน

 

ฝั่งอุปทาน (Supply): ถูกควบคุมโดยกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันและพันธมิตร (OPEC+) ซึ่งสามารถประชุมเพื่อ "เพิ่ม" หรือ "ลด" กำลังการผลิตเพื่อควบคุมราคาได้ นอกจากนี้ยังมีปัจจัยจากการผลิตน้ำมันจากชั้นหินดินดาน (Shale Oil) ในสหรัฐฯ และเหตุการณ์ไม่สงบในประเทศผู้ผลิตรายใหญ่อีกเช่นกัน

ตัวเลขสต็อกน้ำมันดิบ: รายงานสต็อกน้ำมันดิบคงคลังประจำสัปดาห์ (โดยเฉพาะจากสหรัฐฯ) เป็นตัวบ่งชี้ระยะสั้นที่สำคัญ หากสต็อกลดลงมากกว่าคาด ก็อาจหมายถึงความต้องการใช้ที่สูงขึ้นและส่งผลให้ราคาปรับตัวขึ้นได้ค่ะ

 

ค่าเงิน (The Barometer - มาตรวัดความเชื่อมั่น):

มูลค่าของสกุลเงินหนึ่งเมื่อเทียบกับอีกสกุลเงินหนึ่ง สะท้อนถึงความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจและการเงินของประเทศนั้นๆ ค่ะ

 

ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (Interest Rate Differential): ปัจจัยที่สำคัญที่สุดคืออันนี้ค่ะ โดยธรรมชาติแล้ว เงินทุนจะไหลจากประเทศที่ให้ดอกเบี้ยต่ำไปยังประเทศที่ให้ดอกเบี้ยสูงกว่า เพื่อแสวงหาผลตอบแทนที่ดีกว่า ส่งผลให้สกุลเงินของประเทศที่ให้ดอกเบี้ยสูงแข็งค่าขึ้น

 

ดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัด: ประเทศที่ "ส่งออก" มากกว่า "นำเข้า" (เกินดุลการค้า) จะมีความต้องการเงินสกุลของตนเองจากต่างชาติเพื่อมาชำระค่าสินค้า ซึ่งทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น

 

กระแสเงินทุนเคลื่อนย้าย (Capital Flows): การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) และการลงทุนในตลาดหุ้นหรือพันธบัตร ล้วนเป็นการนำเงินตราต่างประเทศเข้ามาในประเทศและทำให้ค่าเงินแข็งค่า

เสถียรภาพและความเชื่อมั่น: ประเทศที่มีการเมืองมั่นคงและเศรษฐกิจที่คาดการณ์ได้ ย่อมสร้างความเชื่อมั่นและดึงดูดเงินทุนได้ดีกว่าค่ะ

 

เจาะลึกสายใยความสัมพันธ์ (Correlation) ที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น

นี่คือหัวใจของเรื่องในวันนี้ค่ะ เราจะมาดูกันว่าฉากที่ตัวละครเหล่านี้ต้องมาเจอกัน มันลึกซึ้งแค่ไหนค่ะ

 

คู่ปรับตลอดกาล: หุ้น vs. พันธบัตร (Risk-On / Risk-Off)

ความสัมพันธ์ของคู่นี้คือรากฐานของการจัดพอร์ตแบบคลาสสิก แต่ในความจริงมันมีมิติที่ลึกกว่านั้นค่ะ

 

The Classic Dance: ในภาวะปกติ เมื่อเศรษฐกิจดี นักลงทุนมีความหวัง เงินจะไหลจาก พันธบัตร ที่ปลอดภัยแต่ผลตอบแทนต่ำ ไปยัง หุ้น ที่เสี่ยงแต่มีโอกาสเติบโตสูง (ราคาหุ้นขึ้น, ราคาพันธบัตรลง) และเมื่อเศรษฐกิจส่งสัญญาณอันตราย เงินก็จะไหลกลับในทิศทางตรงกันข้าม

 

ปัจจัยซ่อนเร้นคือ "ดอกเบี้ย": ความสัมพันธ์นี้ถูกควบคุมโดย "อัตราดอกเบี้ย" อย่างมาก เมื่อธนาคารกลางขึ้นดอกเบี้ยเพื่อสู้เงินเฟ้อ มันจะส่งผลเสียสองต่อ 1) ต้นทุนของบริษัทสูงขึ้น กดดันกำไรและ ราคาหุ้น 2) พันธบัตร ที่ออกใหม่ให้ดอกเบี้ยสูงขึ้น ทำให้พันธบัตรเก่าในตลาดราคาตกลง ในภาวะเช่นนี้ เราอาจเห็นทั้งหุ้นและพันธบัตรราคาตกไปพร้อมๆ กันได้ ซึ่งเป็นฝันร้ายของนักลงทุนเลยทีเดียว

 

ดังนั้นในภาวะที่ดอกเบี้ยเป็นขาขึ้น ราคาหุ้นกับพันธบัตรอาจวิ่งไปในทางเดียวกันได้ค่ะ

 

Yield Curve Inversion: ภาวะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นสูงกว่าระยะยาว เป็นสัญญาณที่ตลาดจับตาดูอย่างใกล้ชิด เพราะมันมักเป็นลางบอกเหตุของภาวะเศรษฐกิจถดถอย ซึ่งจะกระตุ้นให้นักลงทุนเทขาย หุ้น และเข้าซื้อ พันธบัตร ล่วงหน้า

 

ศึกชิงบัลลังก์ Safe Haven: ทองคำ 

 

พันธบัตร 

ดอลลาร์สหรัฐ

เมื่อความกลัวเข้าครอบงำตลาด นักลงทุนจะวิ่งหาที่หลบภัย (Safe Haven) แต่จะวิ่งไปหาใครนั้น ขึ้นอยู่กับ "ประเภทของความกลัว" ค่ะ

กลัวเศรษฐกิจถดถอย: หากความกลัวเกิดจากตัวเลขเศรษฐกิจที่แย่ลง ที่หลบภัยด่านแรกมักจะเป็น พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ เพราะมีความน่าเชื่อถือสูงสุดและให้ดอกเบี้ย (แม้จะน้อย)

กลัวเงินเฟ้อรุนแรง: หากความกลัวมาจากเงินเฟ้อที่พุ่งสูงจนควบคุมไม่อยู่ ทองคำ จะโดดเด่นขึ้นมาทันที เพราะการถือพันธบัตรหรือเงินสดจะให้ผลตอบแทนที่แท้จริงติดลบ (Real Yield < 0) ทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่จับต้องได้และมีปริมาณจำกัด จึงกลายเป็นตัวเลือกในการรักษามูลค่าที่ดีกว่า

 

กลัววิกฤตระบบ (Systemic Crisis): หากเป็นวิกฤตที่สั่นคลอนความเชื่อมั่นในระบบการเงินหรือรัฐบาลประเทศใดประเทศหนึ่ง ทองคำ และ ดอลลาร์สหรัฐ มักจะแข็งค่าขึ้นพร้อมกัน แม้ปกติจะสวนทางกันก็ตาม เพราะในฐานะสกุลเงินสำรองของโลก เงินดอลลาร์คือสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูงสุดในการทำธุรกรรมยามฉุกเฉิน ขณะที่ทองคำคือที่หลบภัยสุดท้าย (Ultimate Safe Haven) ที่ไม่ผูกติดกับรัฐบาลใดๆ นั่นเองค่ะ

 

มิตรหรือศัตรู?: น้ำมัน vs. หุ้น

ความสัมพันธ์ของคู่นี้เปรียบเสมือนดาบสองคม ขึ้นอยู่กับว่าราคาน้ำมันเปลี่ยนแปลง "เร็ว" และ "แรง" แค่ไหนค่ะ

 

ราคาน้ำมันขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป: มักเป็นสัญญาณบวก สะท้อนว่าเศรษฐกิจโลกกำลังขยายตัว มีความต้องการใช้พลังงานเพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลดีต่อกำไรของบริษัทส่วนใหญ่ และทำให้ หุ้นกลุ่มพลังงาน ราคาพุ่งทะยาน

 

ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นแบบช็อกตลาด: จะกลายเป็นต้นทุนมหาศาลที่ฉุดรั้งเศรษฐกิจทันที มันจะกัดกินกำไรของ หุ้นกลุ่มสายการบิน, กลุ่มขนส่ง, และกลุ่มอุตสาหกรรม อย่างหนัก และยังทำให้ผู้บริโภคมีเงินเหลือจับจ่ายซื้อของอื่นๆ น้อยลง ซึ่งส่งผลเสียต่อ หุ้นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค ด้วย สถานการณ์เช่นนี้อาจนำไปสู่ภาวะ Stagflation ที่เลวร้ายได้ค่ะ

 

ความเชื่อมโยงข้ามพรมแดน: ค่าเงิน vs. สินทรัพย์อื่นๆ

สุดท้ายค่าเงินก็ยังคือตัวกลางที่เชื่อมโยงทุกอย่างเข้าด้วยกัน

 

ค่าเงิน 

หุ้น: สกุลเงินที่แข็งค่าจะทำให้สินค้าส่งออกของประเทศนั้นๆ แพงขึ้นในสายตาชาวต่างชาติ ซึ่งไม่ดีต่อ หุ้นกลุ่มผู้ส่งออก แต่จะเป็นผลดีต่อ หุ้นกลุ่มผู้นำเข้า เพราะสามารถซื้อสินค้าจากต่างประเทศได้ในราคาที่ถูกลง

 

ค่าเงิน 

 

ทองคำ: ความสัมพันธ์ที่คลาสสิกที่สุดคือ ดอลลาร์สหรัฐ vs. ทองคำ ซึ่งมักจะสวนทางกัน (Negative Correlation) เพราะทองคำซื้อขายในสกุลดอลลาร์ เมื่อดอลลาร์อ่อนค่า ทองคำจะถูกลงสำหรับนักลงทุนที่ถือเงินสกุลอื่น ทำให้ความต้องการซื้อสูงขึ้นค่ะ

 

แล้ว Correlation สำคัญต่อ "Asset Allocation" อย่างไร?

มาถึงคำถามที่สำคัญที่สุดค่ะ... รู้เรื่องพวกนี้ไปแล้วได้อะไร? คำตอบคือ มันคือหัวใจของการ "จัดสรรสินทรัพย์" หรือ Asset Allocation ค่ะ

Asset Allocation ไม่ใช่การพยายามเลือกลงทุนแต่ในสินทรัพย์ที่จะให้ผลตอบแทนสูงสุดเพียงอย่างเดียว แต่คือ การสร้างทีมเวิร์คให้กับพอร์ตการลงทุนของเรา โดยการผสมผสานสินทรัพย์ที่มี ค่าสหสัมพันธ์ (Correlation) แตกต่างกันเข้าไป

 

เป้าหมายคือการลดความผันผวน

หัวใจหลักคือ การลดความเสี่ยงโดยรวมของพอร์ต ลองคิดดูนะคะ หากเราลงทุนใน หุ้น อย่างเดียว 100% วันที่ตลาดหุ้นตกหนัก พอร์ตเราก็จะเสียหายหนัก แต่ถ้าเราแบ่งเงินส่วนหนึ่งไปลงทุนใน พันธบัตรรัฐบาล ซึ่งมีความสัมพันธ์แบบสวนทางกับหุ้น (Negative Correlation) ในวันที่หุ้นตกหนัก มูลค่าของพันธบัตรในพอร์ตเราอาจจะปรับตัวสูงขึ้น ช่วยพยุงไม่ให้พอร์ตโดยรวมเสียหายรุนแรงเกินไป เหมือนมีเบาะรองรับแรงกระแทกนั่นเอง

 

การกระจายความเสี่ยงที่แท้จริง: การมีสินทรัพย์ที่เคลื่อนไหวไม่ตามกัน (Low or Negative Correlation) จะช่วยให้พอร์ตของเรา "ไปต่อได้" ในทุกสภาวะเศรษฐกิจค่ะ

ในยามเศรษฐกิจรุ่งเรือง: หุ้นในพอร์ตจะทำหน้าที่สร้างการเติบโต

ในยามเศรษฐกิจถดถอย: พันธบัตรจะทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกัน

ในยามที่เงินเฟ้อสูงและน่ากังวล: ทองคำหรือสินค้าโภคภัณฑ์ (เช่น น้ำมัน) จะเข้ามาทำหน้าที่รักษามูลค่าของเงิน

 

Correlation ไม่คงที่

อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่ต้องจำไว้คือ ความสัมพันธ์เหล่านี้ไม่ใช่กฎตายตัว มันสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามสภาวะเศรษฐกิจ ดังที่เราเห็นว่าในบางช่วง ทั้งหุ้นและพันธบัตรก็สามารถตกต่ำไปพร้อมๆ กันได้ ดังนั้น การมีสินทรัพย์ประเภทที่ 3 หรือ 4 เช่น ทองคำ หรืออสังหาริมทรัพย์ เข้ามาในพอร์ต จึงเป็นการกระจายความเสี่ยงไปอีกชั้นหนึ่ง เพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่คาดฝันค่ะ... เดี๋ยวแอดแปะตาราง correlation ไว้ให้ในโพสต์ปักหมุดคอมเม้นนะคะ

 

สรุปง่ายๆ ก็คือ การเข้าใจ Correlation ทำให้เราเปลี่ยนจากการ "เดิมพัน" กับสินทรัพย์ตัวใดตัวหนึ่ง ไปสู่การ "สร้างทีม" ที่แข็งแกร่ง ซึ่งสมาชิกแต่ละคนจะเก่งในสถานการณ์ที่แตกต่างกัน และคอยช่วยเหลือประคับประคองกันไป เพื่อให้พอร์ตการลงทุนของเราเดินทางไปถึงเป้าหมายระยะยาวได้อย่างราบรื่นและมั่นคงที่สุดค่ะ

 

 

 

 

ที่มาเนื้อหาจาก…  เพจ Beauty Investor


การ์ตูน