ดีกันเฉย! แล้วที่ด่ากันมาคืออะไร? สรุปหุ้นขึ้นเพราะพี่จีนให้แร่ พี่ทรัมป์ให้ชิป | Podcast Available
สวัสดีค่ะทุกคน นักลงทุนต่างกลั้นหายใจรอว่าสงครามการค้าระหว่างสองมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ และจีนจะเดินไปในทิศทางไหน เพราะเราต่างก็เคยเห็นผลกระทบจากกำแพงภาษีที่สร้างความปั่นป่วนและไม่แน่นอนให้กับธุรกิจทั่วโลกมาแล้ว
แต่ล่าสุด หมือนมีแสงสว่างรำไรที่ปลายอุโมงค์ (อีกแล้ว) เมื่อการเจรจาการค้ารอบใหม่ที่กรุงลอนดอนเริ่มต้นขึ้น และดูเหมือนจะมีสัญญาณบวกออกมา ทำเอาตลาดหุ้น Wall Street ที่เงียบเหงาอยู่ กลับมาคึกคักขึ้นเล็กน้อยค่ะ ขยับใกล้ ATH เข้าไปอีกนิด

เปิดห้องเจรจาที่ลอนดอน: สัญญาณบวกท่ามกลางความท้าทาย
หัวใจของเรื่องราวทั้งหมดอยู่ที่ "Lancaster House" คฤหาสน์หรูใกล้พระราชวังบักกิงแฮมในกรุงลอนดอน ที่ซึ่งคณะผู้แทนจากสหรัฐฯ และจีนได้นั่งลงพูดคุยกันนานกว่า 6 ชั่วโมงในวันแรก และจะเจรจากันต่อในวันที่สอง
หลังการประชุมจบลง ก็มีถ้อยคำที่น่าสนใจออกมาจากฝั่งสหรัฐฯ ค่ะ รัฐมนตรีพาณิชย์ Howard Lutnick บอกว่าการหารือ "มีผลลัพธ์ที่ดี" ขณะที่รัฐมนตรีคลัง Scott Bessent ก็กล่าวว่าเป็น "การประชุมที่ดี" ซึ่งแม้จะเป็นคำพูดสั้นๆ แต่ในโลกการทูตและการเงิน ถือเป็นสัญญาณบวกที่ทำให้นักลงทุนทั่วโลกใจชื้นขึ้นมาได้
แน่นอนว่าทุกอย่างไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ประธานาธิบดีทรัมป์เองก็ออกมาย้ำว่า "เราไปได้ดีกับจีน แต่จีนไม่ใช่เรื่องง่าย" และ "ผมได้รับแต่รายงานดีๆ" ซึ่งสะท้อนภาพความเป็นจริงว่าการเจรจาต่อรองระดับนี้เต็มไปด้วยความซับซ้อนและยังต้องลุ้นกันอีกยาวๆ
ข้อเสนอแลกเปลี่ยน: "เทคโนโลยี" แลกกับ "แร่หายาก"
คำถามสำคัญคือ แล้วเขาคุยอะไรกัน? ถ้าจะให้สรุปแบบเข้าใจง่ายที่สุด มันคือการยื่นหมูยื่นแมวค่ะ มีรายงานว่าฝั่งสหรัฐฯ ส่งสัญญาณว่าพร้อมจะผ่อนปรนข้อจำกัดในการส่งออกสินค้าเทคโนโลยีบางรายการที่เคยแบนไปก่อนหน้านี้ เช่น ชิ้นส่วนเครื่องยนต์เจ็ต, ซอฟต์แวร์สำหรับออกแบบชิป และเคมีภัณฑ์บางอย่าง
เพื่อแลกกับอะไร? ก็เพื่อแลกกับการที่จีนจะยอมผ่อนคลายการจำกัดการส่งออก "แร่หายาก" (Rare Earth Elements) ซึ่งเป็นเหมือนวัตถุดิบลับที่สำคัญอย่างยิ่งยวดในการผลิตสินค้าไฮเทคแทบทุกชนิดบนโลกใบนี้ ตั้งแต่สมาร์ทโฟนในมือเรา, รถยนต์ไฟฟ้า, ไปจนถึงอาวุธสุดล้ำอย่างเครื่องบินรบและแท่งควบคุมในเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์เลยทีเดียว โดยจีนครองสัดส่วนการผลิตแร่หายากนี้เกือบ 70% ของทั้งโลก การที่จีนจะยอมส่งออกมากขึ้นจึงเป็นเรื่องใหญ่มาก
อย่างไรก็ตาม สหรัฐฯ ก็ขีดเส้นใต้ชัดเจนว่าจะไม่รวมถึงชิปประมวลผลสำหรับ AI ที่ล้ำที่สุดของบริษัท Nvidia นะคะ อันนั้นยังคงจำกัดเหมือนเดิมค่ะ
ตลาดหุ้นตอบรับอย่างไร
เมื่อมีข่าวดีออกมา ตลาดก็ตอบสนองทันทีค่ะ ดัชนี S&P 500 ที่เปรียบเสมือนตัวแทนของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ปิดที่ระดับ 6,005.88 จุด แม้จะยังอยู่ต่ำกว่าจุดสูงสุดตลอดกาลเมื่อเดือนกุมภาพันธ์อยู่ราว 2% ก็ตาม
สิ่งที่น่าทึ่งและอยากเล่าให้ฟังคือ เส้นทางของตลาดก่อนจะมาถึงจุดนี้ค่ะ ดัชนี S&P 500 พุ่งทะยานขึ้นมาจากจุดต่ำสุดเมื่อเดือนเมษายนถึงกว่า 20% และการฟื้นตัวจากภาวะที่นักลงทุนเทขายด้วยความกลัว (ที่เรียกว่า "volatility shock") ในรอบนี้ ใช้เวลาไม่ถึงสองเดือน ซึ่งนักวิเคราะห์จาก Deutsche Bank บอกว่าเป็นการฟื้นตัวที่ "สั้นที่สุดในประวัติศาสตร์" สะท้อนให้เห็นว่าอารมณ์ของตลาดเปลี่ยนจากความกลัวสุดขีดมาเป็นความหวังได้อย่างรวดเร็วมาก
ถ้าเรามองไปที่ประวัติศาสตร์ Sam Stovall นักวิเคราะห์จาก CFRA ให้ข้อมูลที่น่าสนใจว่า ตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เคยผ่านภาวะ "ปรับฐาน" (Correction) หรือการร่วงลง 10% - 19.9% มาแล้ว 24 ครั้ง และโดยเฉลี่ยแล้ว หลังจากสิ้นสุดการปรับฐาน ดัชนี S&P 500 มักจะปรับตัวขึ้นเฉลี่ย 10% ภายในระยะเวลาประมาณ 127 วัน ซึ่งครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่ 25 แล้วค่ะ
เสียงจาก Wall Street: มองไปข้างหน้าอย่างไร?
ตอนนี้บรรดากูรูและนักวิเคราะห์จากสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ต่างออกมาแสดงความเห็นกันอย่างคึกคัก ส่วนใหญ่เริ่มมีมุมมองที่เป็นบวกมากขึ้น โดยให้เหตุผลว่าพื้นฐานเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่ง และผลประกอบการของบริษัทต่างๆ ก็ดูดีขึ้น
Morgan Stanley: Michael Wilson ยังคงย้ำเป้าหมายดัชนี S&P 500 ในอีก 12 เดือนข้างหน้าที่ 6,500 จุด
Goldman Sachs: David Kostin ชี้ว่าท่าทีของตลาดในตอนนี้สะท้อนว่านักลงทุนเริ่มมองแนวโน้มเศรษฐกิจในแง่ดี
JPMorgan และ Citigroup: ก็ได้ปรับเพิ่มเป้าหมายดัชนี S&P 500 สิ้นปีไปในทิศทางเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม ก็มีเสียงเตือนให้เราไม่ประมาทเช่นกันค่ะ Mark Hackett จาก Nationwide บอกว่า "นี่ไม่ใช่ช่วงเวลาของการชะล่าใจ" เพราะการที่ดัชนีจะทะลุจุดสูงสุดเดิมไปได้นั้นยังต้องการปัจจัยบวกที่ชัดเจนกว่านี้
บทสรุปและสิ่งที่เราต้องจับตาต่อหลังจากนี้
เรื่องราวทั้งหมดนี้บอกเราว่า ตลาดการเงินโลกกำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญ การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนได้จุดประกายความหวังครั้งใหม่ ทำให้นักลงทุนคลายความกังวลไปได้เปลาะหนึ่ง แต่ในขณะเดียวกันก็ยังเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน และตลาดก็พร้อมจะผันผวนไปตามพาดหัวข่าวรายวันที่เกี่ยวการการเจรจาการค้าค่ะ
ดังนั้น สำหรับเราในฐานะนักลงทุน สิ่งสำคัญที่สุดคือการ "รู้ทัน" และ "เข้าใจ" ภาพรวมทั้งหมด อย่าเพิ่งดีใจหรือเสียใจไปกับข่าวรายวัน แต่ให้จับตาดูพัฒนาการของการเจรจาที่จะดำเนินต่อไป รวมถึงตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญอย่าง "อัตราเงินเฟ้อ" ที่จะประกาศในวันพุธนี้ ซึ่งส่วนตัวคาดว่า จะเด้งขึ้นจากเดือนก่อนหน้า เพราะดัชนี Truflation มีเด้งขึ้นไปรอแล้ว
ถ้าหากเงินเฟ้อมีการปรับตัวขึ้น ก็จะสนับสนุนมุมมองของเฟดให้คงดอกเบี้ยนานขึ้นไปอีกค่ะ นอกจากนี้เองสัปดาห์นี้จะมีการประมูลพันธบัตรอายุ 30 ปี เจ้าปัญหาของสหรัฐฯ อีก เราต้องมาจับตาดู Bid-Cover Ratio กันอีกทีว่าดีหรือแย่ค่ะ
ขอบคุณที่มาเนื้อหาจาก.. Beauty Investor