ไม่อยากเห็นธุรกิจทรุด ตามเศรษฐกิจโลก จงอาศัยจังหวะขาลงขยายกิจการสู่ตลาดนอกบ้าน 'วรวรรณ งานทวี' นายหญิง 'เอเชียน มารีน เซอร์วิสส์'
'เศรษฐกิจขยายตัวอย่างช้าๆ' เมื่อสถานการณ์ที่อยู่เหนือการควบคุม กำลังกดดันการเจริญเติบโต 'ธุรกิจด้านการต่อเรือและซ่อมเรือ'
สะท้อนผ่านผลประกอบการในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมาของ บมจ.เอเชียน มารีน เซอร์วิสส์ หรือ ASIMAR ที่ขยับตัวลง จากระดับ 55 ล้านบาท เหลือเพียง 12 ล้านบาท
'สองตระกูลใหญ่' ในฐานะผู้ร่วมก่อตั้งอย่าง 'ตัณฑ์ไพบูลย์' และ 'ผาณิตวงศ์' จะแก้เกมนี้เช่นไร 'กรุงเทพธุรกิจ BizWeek' มีคำตอบ
'วรวรรณ งานทวี' กรรมการผู้จัดการ บมจ.เอเชียน มารีน เซอร์วิสส์ ทายาทคนที่ 2 จากจำนวนพี่น้องทั้งหมด 5 คน ของ 'สุธรรม ตัณฑ์ไพบูลย์' ประธานกรรมการบริหาร ASIMAR ยืนยันด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า หากไม่ปรับตัวและยังคงทำงานในรูปแบบเดิมๆ ธุรกิจคงไม่พบกับคำว่า 'ยั่งยืนและมั่นคง'
ฉะนั้นมีความเป็นไปได้ที่จะเห็นบริษัทอาศัยจังหวะเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่ฟื้นตัว ขยายตัวออกไปใน 'ต่างประเทศ' ด้วยวิธีการ 'เทคโอเวอร์กิจการ' หรือ 'ร่วมลงทุน' เพราะการพลิกตัวในช่วงนี้จะทำให้ได้สินทรัพย์ในราคาถูกกว่าปกติ ถือเป็นการเตรียมตัวรองรับในวันที่เศรษฐกิจโลกกลับมา
'คุยเรื่องนี้กับบอร์ดมาสักระยะแล้ว หลังเดินสายดูกิจการหลายแห่งในต่างแดน ตามแผนต้องเคาะเรื่องนี้ภายใน 2-3 ปีข้างหน้า แต่ถ้าผลศึกษาออกมาคุ้มค่าอาจได้เห็นแผนนี้เดินหน้าเร็วขึ้น'
'เจเนอเรชั่น 2' ย้ำชัดว่า ระหว่างที่ยังไม่ได้ข้อสรุปเรื่องงานต่างประเทศ ฉะนั้นยังคงให้น้ำหนักการทำงานภายในประเทศเป็นหลัก สะท้อนผ่านการใช้เงินลงทุนมูลค่า 150 ล้านบาท ในการซื้อที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง จังหวัดสุราษฎร์ธานี เมื่อเดือนเม.ย.2559
แต่เดิมพื้นที่ดังกล่าวเป็นเพียงอู่ซ่อมเรือขนาดเล็ก ซึ่งหลังปรับปรุงพื้นที่แล้วเสร็จ อู่แห่งนี้จะสามารถดำเนิน 'ธุรกิจซ่อมเรือ' ได้เฉลี่ย 15 ลำต่อปี ก่อนจะขยับเป็น 30 ลำ ในปี 2560 ส่วน 'ธุรกิจต่อเรือ' (เฟสสอง) อาจเริ่มดำเนินการได้ในปีหน้า
เป้าหมายสำคัญของการรุกงานภาคใต้คืออะไร? เธอตอบว่า ครอบครองส่วนแบ่งการตลาดพื้นที่ภาคใต้ให้ได้มากที่สุด ปัจจุบันภาคใต้ไม่มีอู่ซ่อมเรือที่ได้มาตรฐาน ฉะนั้นการเข้ามาทำธุรกิจของบริษัทในครั้งนี้ ถือเป็นการขยายฐานรายได้ที่ดีทางหนึ่ง
นายหญิง ยืนยันว่า อู่ซ่อมและต่อเรือ จังหวัดสุราษฎร์ธานี จะผลักดันให้รายได้รวมของบริษัทเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 30% จากปกติที่เติบโตเฉลี่ยปีละ 10-15% เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวมีความต้องการในการซ่อมและต่อเรือค่อนข้างสูง ซึ่งลูกค้าไม่ได้มาจากภาคใต้เท่านั้น แต่ยังมาจากประเทศเพื่อนบ้านด้วย
ดังนั้นโอกาสที่จะเห็นองค์กรแห่งนี้ ครอบครองรายได้รวมระดับ “พันล้าน” ในปี 2560 ไม่ใช่เรื่องยาก เมื่อเทียบกับปี 2558 ที่มีรายได้รวม 766 ล้านบาท และ 238 ล้านบาท ในช่วง 6 เดือนแรกที่ผ่านมา
'ธุรกิจจะยั่งยืนได้ต้องขยายงานต่อเนื่อง ควบคู่กับการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยทำงาน หลังสิ่งแวดล้อมโลกเปลี่ยนแปลงไปแล้ว แต่ก่อนทำงานใช้คนเยอะ แต่วันนี้พึ่งพาแรงงานอย่างเดียวไม่ได้แล้ว หากต้องการลดต้นทุนและเวลาการทำงาน'
เมื่อถามถึงทิศทางอุตสาหกรรมธุรกิจซ่อมและต่อเรือ 'กรรมการผู้จัดการ' เล่าว่า การตัดราคาในช่วงที่ผ่านมา ทำให้เกิด 'การแข่งขันรุนแรง' ทว่าบริษัทคงไม่ลงไปแข่งเรื่องราคาเหมือนเจ้าอื่น แต่จะขอนำ 'จุดแข็ง' มาสู้ โดยเฉพาะเรื่อง 'ระยะเวลา' และ 'คุณภาพ' ซึ่งเรื่องเหล่านี้ เราสร้างขึ้นมาจนกลายเป็นวัฒนธรรมองค์กรไปแล้ว
ท่ามกลางการแข่งขันรุนแรงเช่นนี้ นอกจากต้องยกจุดเด่นมาเรียกลูกค้าระดับ A-B แล้วยังต้อง 'ปรับพอร์ตลูกค้าใหม่' เพื่อให้เข้ากับสถานการณ์ ด้วยการกระจายกลุ่มลูกค้าออกไปในหลากหลายกิจการ ห้ามพึ่งพิงกลุ่มลูกค้ารายใดรายหนึ่ง หรือตลาดใดตลาดหนึ่ง
ยกตัวอย่าง วันนี้เรือที่ขนส่งสินค้าไปต่างประเทศ ไม่คึกคักเหมือนเรือที่ใช้ในงานราชการ เช่น เรือเก็บผักตบชวา เป็นต้น ฉะนั้นหากอยากอยู่รอดในสถานการณ์เช่นนี้ต้องเปลี่ยนตลาด
'กลยุทธ์ที่ดีต้องกระจายกลุ่มลูกค้าออกไปในตะกร้าหลายใบ หากตะกร้าใบไหนไม่ดี ก็ยังมีตะกร้าใบอื่นมาชดเชย ตราบใดที่ธุรกิจซ่อมและต่อเรือยังขึ้นลงตามสภาพเศรษฐกิจโลกเช่นทุกวันนี้'
เธอ บอกว่า หากต้องการให้อุตสาหกรรมต่อเรือและซ่อมเรือมีอัตราเติบโตต่อเนื่อง ทุกฝ่ายต้องช่วยกันผลักดันเรื่องภาษีต่อเรือในประเทศ เนื่องจากปัจจุบันการต่อเรือในประเทศต้องเสียภาษีสูงถึง 7% ขณะที่การสั่งต่อเรือใหม่จากเมืองจีนมีราคาถูกกว่าเฉลี่ย 10-15%
ฉะนั้นหากทางการเข้ามาส่งเสริมเรื่องนี้อย่างจริงจังจะทำให้เกิดการต่อเรือใหม่ในประเทศมากขึ้น ถือเป็นการทดแทนเรือเก่าที่มีจำนวนมากในเมืองไทย ส่วนใหญ่มีอายุการใช้งานค่อนข้างนาน ถ้าไม่รีบจัดการอาจทำให้เรือใหม่ จากประเทศอินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ เข้ามาแย่งแชร์ขนส่งสินค้าของผู้ประกอบการไทย
เมื่อถามถึงทิศทางผลประกอบการในช่วง 6 เดือนหลังของปี 2559 นายหญิง มั่นใจว่า อาจออกมา 'โดดเด่น' กว่าในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา หลังจะทยอยรับรู้รายได้ จากมูลค่างานคงค้างในมือ (Backlog) ที่มีมากกว่า 380 ล้านบาท เฉลี่ย 20-25% ซึ่งมีทั้งงานของภาครัฐและเอกชน
ปัจจุบันบริษัทเตรียมเข้าประมูลงานของการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) มูลค่าไม่เกิน 1,000 ล้านบาท รวมถึงงานรับเหมาช่วง (Sub Contract) และงานโครงสร้างเหล็ก ซึ่งเป็นงานโครงสร้างพื้นฐานของรัฐ
สำหรับโครงสร้างรายได้ของ ASIMAR ประกอบด้วย 1.รายได้ซ่อมเรือ คิดเป็น 45.24% ปัจจุบันมีส่วนแบ่งการตลาดไม่ต่ำกว่า 30% 2.รายได้อู่ต่อเรือ คิดเป็น 46.96% ล่าสุดมีส่วนแบ่งการตลาดเฉลี่ย 20-30% 3.รายได้งานโครงสร้างเหล็ก ปัจจุบันอยู่ระหว่างประมูลงานโครงสร้างเหล็ก มูลค่า 300-400 ล้านบาท
จุดเด่นสำคัญขององค์กรแห่งนี้ คือ สามารถต่อเรือได้ยาวถึง 160 เมตร และมีขีดความสามารถในการรับเรือเฉลี่ย 80-100 ลำต่อปี นอกจากนั้นยังมีความเชี่ยวชาญในการกิจการขนส่งทางเรือมากกว่า 50 ปี
'ในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า ฐานะการเงินจะกลับมาเทิร์นอะราวด์ในลักษณะค่อยเป็นค่อยไป หลังรุกตลาดภาคใต้มากขึ้น และอุตสาหกรรมต่อเรืออาจฟื้นตัวในปีหน้า' 'วรวรรณ' ยืนยันเช่นนั้น