‘เวียดนาม’ ผงาดเศรษฐกิจเอเชีย สัญญาณเตือนแซง ‘ไทย’ ทุกมิติ
- เป้าหมายการเป็นประเทศรายได้สูงของไทยถูกคาดการณ์ว่าจะล่าช้ากว่าแผนเดิม 7-12 ปี (เป็นปี 2591-2596) ซึ่งใกล้เคียงกับเป้าหมายของเวียดนาม (2588-2593) ขณะที่เวียดนามกำลังปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจและระบบราชการอย่างจริงจัง
- ศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยหลังโควิด-19 ลดลงเหลือ 2.7-3.0% ต่อปี ขณะที่เวียดนามมีตัวเลขจีดีพีและการส่งออกที่ดีกว่า และกำลังเร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐานครั้งใหญ่เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
- นักวิชาการชี้ว่าเวียดนามดำเนินนโยบายปฏิรูปที่ถูกต้องตามหลักวิชาการ ทำให้เศรษฐกิจพัฒนาก้าวกระโดดและดึงดูดความสนใจจากนักลงทุนต่างชาติ เช่น จีนและเกาหลีใต้ ขณะที่การปฏิรูปของไทยไม่เกิดผลจริงจัง และเน้นโครงการประชานิยมระยะสั้น
- ภาคเอกชนไทยเตือนว่าหากไทยไม่ลงมือปฏิรูปอย่างจริงจังเหมือนเวียดนาม จะเสียความสามารถในการแข่งขันและอาจถูกแซงหน้าในที่สุด โดยเรียกร้องให้รัฐเร่งสร้างความเชื่อมั่นและเดินหน้าโครงการพื้นฐานที่ล่าช้า
- แม้ไทยจะมีความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานมากกว่าในภาพรวม แต่การขาดความชัดเจนด้านนโยบายของรัฐบาลและความล่าช้าในการลงมือทำ ทำให้เสียเปรียบเวียดนามที่กำลังปรับตัวอย่างรวดเร็วเพื่อดึงดูดการลงทุน
“เวียดนาม” ประกาศแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานครั้งใหญ่ มูลค่ามากถึง 10% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) หรือราว 1.5 ล้านล้านบาท เพื่อเป้าหมายการเติบโตของจีดีพี 8% ในปีนี้ที่เต็มไปด้วยความท้าทาย และเพื่อเป้าหมายระยะยาวสู่การเป็นเสือเศรษฐกิจตัวใหม่ของเอเชีย และเป็นประเทศรายได้สูงภายใน 2045
รัฐบาลฮานอย จะเปิดตัวโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และที่อยู่อาศัย 250 โครงการทั่วประเทศ มูลค่ารวม 1.28 ล้านล้านดอง (ราว 1.5 ล้านล้านบาท) โดยเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามระดับชาติที่จะผลักดันจีดีพี 8% ตามเป้าหมายของรัฐบาล และบรรลุเป้าหมายการเติบโต “เลขสองหลัก” ในปีต่อๆ ไป
ที่ผ่านมา เศรษฐกิจของเวียดนามพึ่งพา “การส่งออก” และ “การลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ” เป็นหลัก ทำให้มีความเปราะบางต่อแรงกระแทกจากปัจจัยภายนอก เช่น มาตรการเก็บภาษีตอบโต้ของประธานาธิบดีสหรัฐ โดนัลด์ ทรัมป์ ที่เพิ่งประกาศใช้ ล่าสุด ทำให้เวียดนามต้องลดความเสี่ยงดังกล่าวด้วยการกระตุ้นอุปสงค์ภายในประเทศผ่านการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน
ก่อนหน้านี้เมื่อปลายปี 2567 พล.อ.โต เลิม เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์คนใหม่ของเวียดนาม ประกาศการมาถึงของ “ยุคสมัยใหม่แห่งการพัฒนา” ซึ่งเป็นสัญญาณเริ่มต้นของการปฏิรูปเศรษฐกิจครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายทศวรรษของเวียดนาม โดยตั้งเป้าเป็น “ประเทศรายได้สูง” ภายในปี 2045 และเป็นหนึ่งในกลุ่ม “เสือเศรษฐกิจของเอเชีย” ตามรอยเกาหลีใต้ และไต้หวัน
ทั้งนี้ รายได้เฉลี่ยต่อหัวต่อปีของเวียดนามถีบตัวขึ้นจาก 1,200 ดอลลาร์ในปี 1990 (2533) มาถึงระดับ 16,385 ดอลลาร์ในปัจจุบัน (เฉพาะฮานอย) มาจากการเปลี่ยนแปลงสู่การเป็น “ศูนย์กลางการผลิตระดับโลก” ช่วยให้ผู้คนหลายล้านคนหลุดพ้นความยากจน
อย่างไรก็ตาม แผนยกระดับประเทศครั้งใหญ่ของเวียดนาม ยังเต็มไปด้วยความท้าทายอีกมาก ขณะที่โมเดลการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ “เน้นการส่งออก และมีต้นทุนต่ำ” กำลังชะลอตัวลง กระตุ้นให้ต้องเกิดการเปลี่ยนผ่านไปสู่อุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง พลังงานสีเขียว และการขยายกิจการภาคเอกชน
‘ทีดีอาร์ไอ’ ชี้ไม่เป็นผลดีต่อไทย
ดร.นณริฏ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโสจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) กล่าวว่า สิ่งหนึ่งที่ไม่ค่อยถูกพูดถึง แต่ถือเป็นเรื่องน่ากังวลสำหรับประเทศไทย คือความก้าวหน้าของแผนยุทธศาสตร์ชาติ ที่เคยตั้งเป้าว่าไทยจะก้าวขึ้นเป็นประเทศรายได้สูงภายในปี 2579 ซึ่งเป็นช่วงรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แต่ต่อมาเป้าหมายดังกล่าวเลือนหายไปท่ามกลางปัญหาโควิด-19 และวิกฤติอื่นๆ จนไม่ค่อยมีใครกล่าวถึงอีก
ดร.นณริฏ กล่าวว่า ปี 2566 ได้เคยประมาณการเศรษฐกิจไทย และพบว่าหลังโควิด-19 ศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจไทยลดลง โดยก่อนโควิดศักยภาพการเติบโตอยู่ที่ประมาณ 3.6% ต่อปี แต่หลังโควิดศักยภาพการเติบโตอาจเหลือเพียง 2.7-3.0% ต่อปีเท่านั้นส่งผลให้ไทยเข้าสู่สถานะประเทศรายได้สูงได้ช้าลง โดยคาดว่าจะเกิดขึ้นราวปี 2591-2596 หรือช้ากว่าแผนเดิมประมาณ 7-12 ปี
“ความน่ากังวล คือ เดิมทีไทยพยายามเกาะกลุ่มประเทศที่พัฒนารวดเร็ว เช่น จีนและมาเลเซีย ทั้งสองประเทศตั้งเป้าเป็นประเทศรายได้สูงปี 2568 และ 2573 ตามลำดับ และมีแนวโน้มบรรลุเป้าหมายตามที่วางไว้ แต่ของไทยกลับล่าช้ามาก และกลายเป็นว่ามีแนวโน้มจะเข้าสู่รายได้สูงใกล้เคียงเวียดนาม ซึ่งตั้งเป้าไว้ในปี 2588-2593 แทน”

ดร.นณริฏ ระบุว่า สถานการณ์นี้ไม่เป็นผลดีต่อไทย เพราะเวียดนามเริ่มเดินหน้านโยบายที่ถูกต้องตามหลักวิชาการ เช่น ปฏิรูประบบราชการให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่งผลให้เศรษฐกิจพัฒนาก้าวกระโดด ขณะที่ไทยแม้จะทราบปัญหาและมีข้อเสนอเชิงวิชาการออกมา แต่การปฏิรูปกลับไม่เกิดผลจริงจัง อีกทั้งโครงการเศรษฐกิจที่ดำเนินอยู่ส่วนใหญ่เน้นประชานิยมระยะสั้นหรือกิจการที่ไม่ยั่งยืน เช่น กัญชา คาสิโน สุราเสรี ที่กระทบสังคมและสุขภาพสูง รวมถึงโครงการแลนด์บริดจ์ที่มีงานวิจัยหลายชิ้นระบุว่าไม่คุ้มค่า
“หากมองอนาคต จีนและเกาหลีใต้เริ่มให้ความสำคัญเวียดนามมากกว่าไทย ทั้งสองประเทศต่างเป็นผู้ชนะโลกยุคดิจิทัล (และจีนกำลังก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำด้าน AI ร่วมกับสหรัฐ) หากไทยไม่สามารถปฏิรูปได้จริงจังเหมือนเวียดนามมีความเสี่ยงสูงที่ไทยจะเสียความสามารถการแข่งขัน อาจกลายเป็นประเทศที่ล้าหลังกว่าเวียดนามในที่สุด” ดร.นณริฏ กล่าว
ส.อ.ท.แนะไทยตื่นตัวก่อนถูกแซงทุกมิติ
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า เวียดนามกำลังอยู่ในช่วงปรับตัวครั้งสำคัญ โดยใช้โอกาสจากสถานการณ์ภาษีสหรัฐ และกติกาโลกที่เปลี่ยนแปลงไป เนื่องจากเวียดนามพึ่งพาตลาดส่งออกสหรัฐมากกว่าไทย โดยเวียดนามส่งออกกว่า 30% ขณะที่ไทยส่งออกราว 18% รวมถึงต้องเผชิญกับอัตราภาษีทรานส์ชิปเมนต์ที่เพิ่มขึ้นถึง 40%
นายเกรียงไกร กล่าวว่า เมื่อโลกเปลี่ยนไป เวียดนามจึงต้องพึ่งพาตัวเองมากขึ้นเร่งปรับโครงสร้างอย่างจริงจัง เริ่มจากปฏิรูประบบราชการ ลดจำนวนกระทรวงและลดค่าใช้จ่ายเพื่อลดความซ้ำซ้อน ทั้งนี้ เวียดนามตระหนักดีว่าหากไม่ปรับโครงสร้างจะเสียเปรียบในการแข่งขันในตลาดโลก ถือเป็นตัวอย่างที่ดีที่ไทยควรนำมาปรับใช้
“หากเวียดนามทำได้ก่อน เราจะได้รับผลกระทบแน่นอน เพราะเขามีขีดความสามารถแข่งขันและทักษะที่เหนือกว่าไทย รวมถึงตัวเลขจีดีพี และการส่งออกก็ดีกว่า ดังนั้น เวียดนามจึงรีบดำเนินการอย่างเร่งด่วน” นายเกรียงไกร กล่าว
อย่างไรก็ตาม ยังไม่สายเกินไปสำหรับประเทศไทย หากเห็นตัวอย่างจากเวียดนามและเริ่มลงมือทำอย่างจริงจังพร้อมกัน แต่สิ่งสำคัญคือ ต้องคิดและลงมือทำไม่ใช่แค่พูดแต่ไม่ทำหรือทำช้า จะทำให้ไทยเสียเปรียบและแข่งขันได้ยากขึ้น
“วิกฤติครั้งนี้อาจเป็นจุดเปลี่ยนที่เป็นโอกาสให้เราต้องลุกขึ้นมาปฏิรูปตัวเอง เหมือนเวียดนามที่เป็นคู่แข่งสำคัญในภูมิภาคนี้ เพราะไทยยังมีจุดแข็งและความได้เปรียบอีกหลายด้าน แต่หากไม่ลงมือทำ เราจะถอยหลังและถูกแซงหน้าไปเรื่อยๆ ดังนั้นไทยควรเริ่มทำอย่างจริงจัง โดยเฉพาะลดกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อความก้าวหน้า และทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันอย่างจริงจัง โดยมีภาครัฐเป็นผู้นำ เพื่อให้ประเทศก้าวต่อไปได้อย่างยั่งยืน”
“หอการค้าไทย” จี้รัฐเร่งโครงสร้างพื้นฐาน
นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานสภาหอการค้าไทย กล่าวว่า การที่เวียดนามลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ก็เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและรองรับผลกระทบจากภาษีทรัมป์ โดยต้องการให้เศรษฐกิจเวียดนามเติบโตได้ตามเป้าหมาย ถือเป็นการขยับที่น่าสนใจ ขณะที่รัฐบาลไทยเองต้องรีบขยับตัวบ้างในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ และเดินหน้าโครงสร้างพื้นฐาน เช่น รถไฟความเร็วสูง ที่โครงการล่าช้าไม่มีการเชื่อมต่อกับสนามบินรวมทั้งมาตรการรกระตุ้นเศรษฐกิจที่ต้องเร่งโดยเร็ว
ขณะนี้เวียดนามเริ่มขยับเพื่อดึงดูดการลงทุน เป็นการสร้างแรงจูงใจในการลงทุน แต่ส่วนตัวยังเชื่อว่า ไทยยังมีเสน่ห์ดึงดูดการลงทุนต่างชาติอยู่ด้วยปัจจัยที่ไทยมีความพร้อมมากกว่าทั้งเป็นศูนย์กลางของซีแอลเอ็มวี ภูมิประเทศที่เชื่อมโยงระหว่าง 2 มหาสมุทร การผลิตและการส่งออกก็มีการเติบโตสูง มีอุตสาหกรรมต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ พร้อมซัพพอร์ตการผลิต รวมทั้งการส่งเสริมอุตสาหกรรมใหม่ แต่ที่ชะลอเพราะนักลงทุนยังไม่เห็นความชัดเจนด้านนโยบายของรัฐ ด้านเอกชนก็มีความพร้อมร่วมมือกับรัฐบาลในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจขอให้รัฐบาลมีเสถียรภาพ สร้างความเชื่อมั่น
“จีดีพีไทยชะลอตัวลงหลังจากหลายปีที่ผ่านมาเติบโตสูง เป็นเหมือนหลายประเทศ เช่น จีนที่เติบโตระดับ 2 ตัวเลข ปัจจุบันก็เริ่มชะลอตัว เวียดนามก็กำลังเติบโตจากภาคส่งออก และกำลังเดินหน้าโครงสร้างพื้นฐานหลายโครงการแต่เรากำลังช้า ซึ่งคงต้องเร่งเดินหน้าเร็ว รัฐต้องมีนโยบายที่ชัดเจน เสถียรภาพการเมืองต้องนิ่ง”นายพจน์ กล่าว
ลงทุนอินฟราฯไทยต่างจากเวียดนาม
นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กล่าวถึงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของประเทศไทยว่า มีแผนลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่ค่อนข้างชัดเจน และดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งเรื่องคมนาคม การบริหารจัดการน้ำ และเรื่องพลังงาน ซึ่งมีการทยอยลงทุนต่อเนื่องมานานหลายสิบปีทำให้ไทยมีความพร้อมในเรื่องนี้ ต่างจากเวียดนามที่มีการเร่งการลงทุนช่วงนี้ เนื่องจากที่ผ่านมาโครงสร้างพื้นฐานหลายด้านยังคงมีปัญหาพอสมควร
ทั้งนี้ โครงสร้างพื้นฐานของไทยยังถือเป็นจุดแข็ง โดยขณะนี้ยังมีส่วนที่นักลงทุนต้องการเพิ่ม คือ เรื่องการลงทุนในเรื่องของพลังงานสะอาด (RE100) ที่นักลงทุนโดยเฉพาะในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ยังมีความต้องการของนักลงทุนมาก แม้ว่าในภาพรวมปริมาณการสำรองไฟฟ้าของประเทศไทยจะมีเพียงพอ แต่ในส่วนของความต้องการไฟฟ้าสะอาดสำหรับเอกชนนั้นยังมีความต้องการเพิ่มอยู่
โดยในส่วนของการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของประเทศไทยนั้นปัจจุบันมีแผนที่มีการวางไว้อยู่แล้ว อย่างไรก็ตามต้องพิจารณาควบคู่ไปกับความพร้อมงบประมาณ หนี้สาธารณะต่อจีดีพี และพื้นที่ทางการคลังที่เหลืออยู่ของไทยด้วย
ที่มา. https://www.bangkokbiznews.com/business/economic/1194814