ห้องเม่าปีกเหล็ก

Bond Yield พุ่ง ดอลลาร์อ่อนค่า พาตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดลบ

โดย Q&K
เผยแพร่ :
78 views

Bond Yield พุ่ง ดอลลาร์อ่อนค่า พาตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดลบ หลังทรัมป์ยังแก้ปัญหาหนี้ไม่ได้ | Podcast Available

 

จุดเริ่มต้นของแรงสั่นสะเทือน: การประมูลพันธบัตรที่ "ขายไม่ดี"

เรื่องมันเริ่มชัดเจนขึ้นเมื่อวันพุธที่ผ่านมาค่ะ เมื่อกระทรวงการคลังสหรัฐฯ นำพันธบัตรรัฐบาลอายุ 20 ปี มูลค่าถึง 16,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ออกมาประมูล ผลปรากฏว่า "ความต้องการซื้อ" หรือ demand เนี่ย มัน "แผ่ว" กว่าที่คาดการณ์กันไว้มากค่ะ ทั้งๆ ที่พันธบัตรรุ่นนี้เสนออัตราดอกเบี้ยหน้าตั๋ว (coupon rate) สูงถึง 5% ซึ่งเป็นระดับที่สูงที่สุดนับตั้งแต่รัฐบาลสหรัฐฯ นำพันธบัตรอายุ 20 ปี กลับมาประมูลอีกครั้งในปี 2020 เลยนะคะ

เมื่อพันธบัตรขายไม่ค่อยออก ราคาพันธบัตรก็ตกลงตามกลไกตลาด และอย่างที่เคยอธิบายไปค่ะ พอราคาตก "อัตราผลตอบแทนพันธบัตร" (bond yield) ก็จะดีดตัวสูงขึ้นทันที ผลที่ตามมาชัดเจนมากคือ

 

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ซึ่งเป็นเหมือนมาตรวัดสำคัญของตลาดการเงินโลก พุ่งขึ้นถึง 11 Basis Points หรือ 0.11% ทำให้ขยับขึ้นไปอยู่ที่ระดับประมาณ 4.6%

 

ไม่ใช่แค่นั้น พันธบัตรระยะยาวตัวอื่นๆ ก็โดนเทขายหนักเช่นกัน โดยเฉพาะ พันธบัตรอายุ 30 ปี ที่อัตราผลตอบแทนพุ่งขึ้นไป มากกว่า 10-12 BPS และมีช่วงหนึ่งดีดตัวขึ้นไปแตะระดับ 5.1% ซึ่งเป็นระดับที่สูงมาก เกือบจะทำสถิติสูงสุดในรอบสองทศวรรษเลยทีเดียว

คุณ Michael O’Rourke หัวหน้านักกลยุทธ์ตลาดจาก JonesTrading บอกว่า "การประมูลพันธบัตรอายุ 20 ปีที่ซบเซา ยิ่งโหมกระพือความอ่อนแอที่มีอยู่แล้ว" และยังเสริมอีกว่า "มันเป็นธีมที่เห็นมาตลอดทั้งสัปดาห์ เริ่มตั้งแต่การถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือโดย Moody’s ไหนจะมีการถกเถียงเรื่องงบประมาณและการขาดดุลที่กำลังสู้กันอยู่เบื้องหลังอีก"

 

ตลาดผันผวนหนัก: หุ้นร่วง-ดอลลาร์อ่อนค่าผิดปกติ

ผลกระทบไม่ได้อยู่แค่ในตลาดพันธบัตรค่ะ มันเริ่มลามไปทั่วทั้งกระดาน

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ดิ่งหนัก: วันนั้นถือเป็นวันที่ตลาดหุ้นย่ำแย่ที่สุดในรอบหนึ่งเดือนเลยค่ะ โดยดัชนี S&P 500 ร่วงลงไป 1.6% ส่วนดัชนี Nasdaq 100 ปรับตัวลดลง 1.3% และดัชนี Dow Jones Industrial Average ดิ่งลงถึง 1.9%

ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าลง โดยที่น่าแปลกใจและเป็นที่จับตามองคือ ดัชนีดอลลาร์ (Bloomberg Dollar Spot Index) อ่อนค่าลง 0.3% ค่ะ ซึ่งปกติแล้วเวลาเกิดความไม่แน่นอนในตลาดโลก เงินดอลลาร์มักจะแข็งค่าขึ้นในฐานะ "สินทรัพย์ปลอดภัย" (safe haven) แต่ครั้งนี้กลับสวนทางกัน

คุณ George Saravelos จาก Deutsche Bank ชี้ว่า ส่วนที่น่ากังวลที่สุดของปฏิกิริยาตลาดต่อการประมูลพันธบัตรครั้งนี้ก็คือการที่ "เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงในเวลาเดียวกัน" กับที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรพุ่งสูงขึ้น เขาให้ความเห็นว่า "ปัญหาหลักเลยก็คือ นักลงทุนต่างชาติไม่เต็มใจที่จะสนับสนุนการขาดดุลคู่ (twin deficits) ของสหรัฐฯ ที่ระดับราคาปัจจุบันอีกต่อไปแล้ว" พูดง่ายๆ คือ ต่างชาติเริ่มไม่อยากให้สหรัฐฯ กู้เงินง่ายๆ เหมือนเดิมแล้วนั่นเองค่ะ

 

ล้วงลึกต้นตอ: วิกฤตหนี้สินและการขาดดุลของสหรัฐฯ ที่น่าสะพรึง

ทำไมตลาดถึงอ่อนไหวกับเรื่องนี้มาก? คำตอบคือ "ความกังวลอย่างหนักเกี่ยวกับหนี้สาธารณะที่พอกพูนและการขาดดุลงบประมาณมหาศาลของสหรัฐฯ" ค่ะ ตั้งแต่

 

Moody's ลดเครดิต: เมื่อไม่นานมานี้ Moody's Ratings หนึ่งในสามสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือยักษ์ใหญ่ของโลก ได้ ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ (credit score) ของสหรัฐฯ ลงจากระดับสูงสุดคือ AAA ซึ่งเป็นเหมือนการส่งสัญญาณเตือนว่า ฐานะทางการคลังของประเทศมหาอำนาจนี้กำลังสั่นคลอน

 

อดีตขุนคลังยังเตือน: คุณ Steven Mnuchin อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ก็ออกมาแสดงความกังวลอย่างมาก โดยบอกว่า "ผมกังวลเรื่องการขาดดุลงบประมาณมากกว่าการขาดดุลการค้าเสียอีก" และเรียกร้องให้วอชิงตัน (รัฐบาลสหรัฐฯ) ให้ความสำคัญกับการ "ซ่อมแซมการคลัง" โดยด่วน "ผมหวังว่าเราจะเห็นการตัดลดรายจ่ายมากขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญมาก" เขากล่าว (แต่ตอนเค้าดำรงตำแหน่งอยู่ เค้าก็ไม่ทำนะ )

 

ตัวเลขหนี้ที่น่าตกใจ

อัตราส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP (Debt-to-GDP ratio): ข้อมูลจากสำนักงบประมาณรัฐสภาสหรัฐฯ (CBO) ระบุว่าอยู่ที่ประมาณ 100% แล้วค่ะ (มีหนี้เท่ากับรายได้ของทั้งประเทศ)

ภาระดอกเบี้ยจ่าย: ในปี 2024 สหรัฐฯ ต้องจ่ายดอกเบี้ยจากหนี้สาธารณะสูงถึงประมาณ 880,000 ล้านดอลลาร์ซึ่งมากกว่างบประมาณกระทรวงกลาโหมทั้งปีเสียอีก

ยอดหนี้คงค้าง (Outstanding Treasuries): พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว จากไม่ถึง 14 ล้านล้านดอลลาร์ ณ สิ้นปี 2016 มาอยู่ที่เกือบ 30 ล้านล้านดอลลาร์ ในปัจจุบัน ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการลดภาษีในสมัยประธานาธิบดีทรัมป์ และการกู้ยืมมหาศาลในช่วงวิกฤตโควิด-19 ทั้งในสมัยทรัมป์และอดีตประธานาธิบดีไบเดน โดยยอดขายพันธบัตรรัฐบาลรวมต่อปีทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 2.6 ล้านล้านดอลลาร์เมื่อปีที่แล้ว (ข้อมูลจาก SIFMA ซึ่งเป็นสมาคมตลาดพันธบัตร)

 

มุมมองจากผู้เชี่ยวชาญ

 

คุณ Stuart Kaiser หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การซื้อขายหุ้นสหรัฐฯ ของ Citigroup เตือนว่า "เราคาดว่าความเสี่ยงด้านการคลังและการขาดดุลจะยังคงอยู่ เนื่องจากข้อเสนองบประมาณบ่งชี้ว่าการขาดดุลจะยังคงสูงกว่า 6% แม้ว่าเศรษฐกิจจะแข็งแกร่งก็ตาม และมูลค่าหุ้นในปัจจุบันก็สูงเกือบสองเท่าของระดับปี 2011 ซึ่งเป็นปีที่ S&P ปรับลดอันดับเครดิตสหรัฐฯ ตอนนั้นขาดดุลสูงกว่า 8% หลังวิกฤตการเงิน"

 

คุณ Chris Low จาก FHN Financial ให้ภาพเปรียบเทียบว่า "งบประมาณนี่เหมือนมุกตลกที่แบบ ข่าวร้าย-ข่าวดี-ข่าวร้าย ข่าวร้ายแรกคือมันควบคุมไม่ได้มาหลายปีแล้ว ซึ่งเป็นเหตุผลที่ Moody’s ลดเครดิตหนี้สหรัฐฯ ข่าวดีคือ งบประมาณปัจจุบันกำลังไปในทิศทางที่จะทำให้การขาดดุลมีเสถียรภาพ หรืออาจจะลดลงได้ด้วยซ้ำ แต่ข่าวร้ายที่สองก็คือ งบประมาณมันจำเป็นต้องลดลง ไม่ใช่แค่มีเสถียรภาพ"

 

นักลงทุนผวา: แห่ป้องกันความเสี่ยง-คาดดอกเบี้ยสูงขึ้นอีก

เมื่อสถานการณ์เป็นแบบนี้ นักลงทุนก็ต้องปรับตัวค่ะ เริ่มจาก

 

แห่ป้องกันความเสี่ยง (Hedging): มีกิจกรรมการเข้าซื้อ "Treasury options" อย่างคึกคัก โดยนักลงทุนส่วนใหญ่ตั้งเป้าไปที่อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรระยะยาวที่จะสูงขึ้นอีกภายในสิ้นปีนี้ เป็นการส่งสัญญาณว่าพวกเขากำลังเตรียมพร้อมรับมือกับความผันผวน

 

กูรูพร้อมใจปรับคาดการณ์ Yield: นักกลยุทธ์จากสถาบันการเงินชั้นนำของวอลล์สตรีท ไม่ว่าจะเป็น Goldman Sachs Group Inc. หรือ JPMorgan Chase & Co. ต่างก็พากันปรับเพิ่มคาดการณ์อัตราผลตอบแทนพันธบัตรกันเป็นแถว

 

หุ้นแพงไปแล้ว เมื่อเทียบกับดอกเบี้ย?:

โดยทางด้านคุณ Jonathan Krinsky จาก BTIG ให้ข้อสังเกตว่า ในที่สุดตลาดพันธบัตรก็เริ่ม "ได้รับความสนใจ" จากตลาดหุ้นเสียที

ขณะที่คุณ Matt Maley จาก Miller Tabak เสริมว่า "อัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่สูงขึ้นเหล่านี้ ทำให้การให้เหตุผลกับระดับมูลค่าหุ้น (Valuation) ที่สูงมากในปัจจุบันเป็นเรื่องยากขึ้นมาก ดังนั้น มันจึงเป็นสิ่งที่น่าจะสร้างแรงต้านใหม่ๆ (renewed headwinds) ให้กับตลาดหุ้นได้"

 

"Bond Vigilantes" ปรากฏตัว: ตลาดพันธบัตรส่งสารเตือนถึงรัฐบาล

คำว่า "Bond Vigilantes" หรือแปลไทยแบบเห็นภาพคือ "ศาลเตี้ยแห่งตลาดพันธบัตร" เริ่มถูกพูดถึงหนาหูขึ้นค่ะ มันหมายถึงกลุ่มนักลงทุนในตลาดพันธบัตรที่มีอิทธิพลมากพอที่จะ "ลงโทษ" รัฐบาลที่มีวินัยการคลังหละหลวม ด้วยการเทขายพันธบัตร ทำให้อัตราผลตอบแทน (หรือต้นทุนการกู้ยืมของรัฐบาล) สูงขึ้น บีบให้รัฐบาลต้องกลับมาให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาหนี้สินและลดการใช้จ่ายในที่สุด

การผลักดันร่างกฎหมายลดภาษีของประธานาธิบดีทรัมป์ ก็เป็นอีกหนึ่งชนวนสำคัญที่ทำให้ Bond Vigilantes เริ่มเคลื่อนไหว เพราะนักลงทุนกังวลว่าแผนลดภาษีนี้จะยิ่งทำให้การขาดดุลงบประมาณของสหรัฐฯ บานปลายไปอีกหลายล้านล้านดอลลาร์ในอนาคต

 

คุณ George Catrambone หัวหน้าฝ่ายตราสารหนี้และการซื้อขายของ DWS Americas กล่าวอย่างชัดเจนว่า "อย่าเข้าใจผิด ตลาดพันธบัตรจะมีการลงคะแนนเสียงของตัวเองเกี่ยวกับเงื่อนไขของร่างกฎหมายงบประมาณนี้" และ "ดูเหมือนว่าทั้งประธานาธิบดีคนนี้และสภาคองเกรสชุดนี้ จะไม่สามารถลดการขาดดุลได้อย่างมีความหมายจริงๆ"

 

คุณ Priya Misra ผู้จัดการพอร์ตโฟลิโอของ JPMorgan Asset Management ชี้ว่า "ตลาดพันธบัตรกำลังส่งสัญญาณเตือนไปยังผู้กำหนดนโยบายว่า ปัญหาความยั่งยืนทางการคลังไม่สามารถถูกเพิกเฉยได้อีกต่อไปแล้ว และไม่ใช่แค่ตลาดพันธบัตรเท่านั้น แต่ตอนนี้ความกลัวเหล่านั้นกำลังครอบงำความเชื่อมั่นในสินทรัพย์เสี่ยง ทั้งหุ้นและตราสารหนี้ก็เริ่มให้ความสนใจแล้ว"

 

คุณ Tim Magnusson ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุนของ Garda Capital Partners กองทุนเฮดจ์ฟันด์มูลค่า 11,500 ล้านดอลลาร์ มองว่า "ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ตลาดนี่แหละที่จะนำพาวินัยมาสู่เรื่องนี้ จนกว่าคุณจะจัดการกับการปฏิรูปสวัสดิการต่างๆ เช่น ประกันสังคม Medicare, Medicaid พวกเขาก็จะไม่ขยับเข็มไปไหน นั่นเป็นหนทางเดียว และตลาดพันธบัตรเสมอที่เป็นผู้นำวินัยมา"

 

คุณ Bill Campbell ผู้จัดการพอร์ตโฟลิโอของ DoubleLine กล่าวว่า "ฝ่ายบริหารดูเหมือนกำลังเดิมพันอย่างกล้าหาญหรือเสี่ยงมากว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจจะช่วยกอบกู้วิกฤตหนี้และการขาดดุลได้ แต่คุณกำลังเสี่ยงว่าถ้ามันไม่เป็นเช่นนั้น ตอนนี้คุณได้เพิ่มแนวโน้มของความเสื่อมโทรมทางการคลังให้แย่ลงไปอีก คุณกำลังเสี่ยงที่จะทำให้แนวโน้มนั้นยากต่อการแก้ไขยิ่งขึ้นไปอีกในอนาคต"

 

แม้แต่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐฯ คนปัจจุบัน คุณ Scott Bessent ก็ยังเคยเตือนสมาชิกรัฐสภาเมื่อไม่นานนี้ว่า เส้นทางหนี้ของประเทศนั้น "ไม่ยั่งยืน" และยังยอมรับถึงพลังของ Bond Vigilantes โดยเสริมว่า "มันยากมากที่จะรู้" ว่าจุดเปลี่ยน (tipping point) ที่นักลงทุนจะ "ก่อกบฏ" คือเมื่อไหร่

 

เกมการเมืองร้อนระอุ: ชะตากรรมร่างกฎหมายภาษีและงบประมาณ

สถานการณ์ยิ่งซับซ้อนด้วยเรื่องการเมืองภายในสหรัฐฯ ค่ะ ทำเนียบขาวกำลังกดดันอย่างหนักให้สมาชิกรีพับลิกันอนุมัติร่างกฎหมายภาษีฉบับสำคัญของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ โดยถึงกับกล่าวว่า หากไม่ผ่านจะถือเป็น "การทรยศครั้งร้ายแรงที่สุด (ultimate betrayal)"

อย่างไรก็ตาม การประชุมระหว่างทรัมป์กับ ส.ส.รีพับลิกันที่ยังไม่เห็นด้วย (GOP holdouts) ก็ยังไม่สามารถแก้ไขข้อขัดแย้งเรื่องต้นทุนหลายล้านล้านดอลลาร์ของมาตรการนี้ได้ โดยเฉพาะกลุ่ม ส.ส.สายอนุรักษ์นิยม ที่เรียกร้องให้มีการตัดลดงบประมาณโครงการ Medicaid (ประกันสุขภาพสำหรับผู้มีรายได้น้อย) ให้มากขึ้น และเร่งยกเลิกมาตรการลดหย่อนภาษีสำหรับพลังงานสะอาดให้เร็วขึ้น ซึ่งเป็นจุดยืนที่กลุ่ม ส.ส.สายกลาง ในพรรคไม่เห็นด้วย ทำให้ผู้นำสภาฯ ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบาก

แม้จะมีความขัดแย้ง แต่ก็มีความคืบหน้าอยู่บ้าง โดยประธานสภาผู้แทนราษฎร Mike Johnson ได้ประกาศว่าบรรลุข้อตกลงกับ ส.ส. จากรัฐที่มีภาระภาษีสูง ในการเพิ่มวงเงินลดหย่อนภาษีท้องถิ่นและรัฐ หรือที่เรียกว่า "SALT deduction" เป็น 40,000 ดอลลาร์ (จากเดิมที่จำกัดไว้แค่ 10,000 ดอลลาร์ในสมัยทรัมป์)

ข้อตกลงนี้มีรายละเอียดคือ วงเงิน 40,000 ดอลลาร์นี้จะใช้ได้กับผู้มีรายได้ต่อปีไม่เกิน 500,000 ดอลลาร์ และจะค่อยๆ ลดลง (phase out) สำหรับผู้มีรายได้สูงกว่านั้น โดยเกณฑ์รายได้นี้จะเพิ่มขึ้นปีละ 1% ตลอดระยะเวลา 10 ปีของกฎหมาย ซึ่งถือเป็นการเอาใจ ส.ส. กลุ่มสำคัญที่เคยขู่ว่าจะคว่ำร่างกฎหมายนี้หากไม่มีการปรับเพิ่ม SALT cap

แต่ ส.ส. สายแข็งกร้าวหลายคน เช่น คุณ Chip Roy จากเท็กซัส และคุณ Ralph Norman จากเซาท์แคโรไลนา ยังคงไม่พอใจและขู่ว่าจะสกัดกั้นร่างกฎหมายนี้หากไม่มีการตัดลดงบประมาณในส่วนอื่นเพิ่มเติมตามที่พวกเขาต้องการ นอกจากนี้ ผู้นำรีพับลิกันในสภายังมีแผนที่จะเร่งรัดข้อกำหนดการทำงานสำหรับผู้รับสิทธิ์ Medicaid ให้มีผลเร็วขึ้นเป็นเดือนธันวาคม 2026 จากเดิมปี 2029 เพื่อเอาใจกลุ่มอนุรักษ์นิยมสุดขั้ว

 

ข่าวคราวความเคลื่อนไหวในบริษัทใหญ่ๆ ที่น่าสนใจ

นอกเหนือจากภาพรวมตลาดใหญ่ๆ และประเด็นเรื่องหนี้สินของสหรัฐฯ ที่เราคุยกันไปแล้วนะคะ ยังมีข่าวความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจของบริษัทใหญ่ๆ อีกหลายแห่งเลยค่ะ ลองมาดูกันว่ามีอะไรบ้าง

 

OpenAI ทุ่มเกือบ 6.5 พันล้านเหรียญ ซื้อสตาร์ทอัพ AI ของ Jony Ive: ข่าวใหญ่ในวงการเทคเลยค่ะ OpenAI ผู้สร้าง ChatGPT เข้าซื้อกิจการสตาร์ทอัพด้านอุปกรณ์ AI ที่ร่วมก่อตั้งโดย Jony Ive อดีตดีไซเนอร์มือทองของ Apple เจ้าของผลงานอย่าง iPhone นั่นเองค่ะ ดีลนี้เป็นแบบแลกหุ้นทั้งหมดมูลค่าเกือบ 6,500 ล้านดอลลาร์ ทำให้ OpenAI ได้ทีมงานออกแบบระดับโลกมาช่วยพัฒนาฮาร์ดแวร์ AI ของตัวเอง ส่วนข่าวนี้ก็ทำให้หุ้น Apple ปรับตัวลดลงเล็กน้อยด้วยค่ะ

 

Alphabet (Google) เอาจริง! เปิด "AI mode" ใน Search ให้ทุกคนในสหรัฐฯ: ยักษ์ใหญ่ Google ก็ไม่น้อยหน้าค่ะ ประกาศว่าจะเปิดตัว "AI mode" ในระบบค้นหา (Search) ให้กับผู้ใช้งานทุกคนในสหรัฐอเมริกา เป็นการส่งสัญญาณชัดเจนว่า Google พร้อมจะปรับโฉมธุรกิจหลักของตัวเองเพื่อสู้ศึกในยุค AI งานนี้ทำให้หุ้น Alphabet ปรับตัวสูงขึ้นด้วยค่ะ

 

Nvidia ซีอีโอ Jensen Huang วิจารณ์นโยบายจำกัดชิป AI ไปจีน: Jensen Huang ซีอีโอของ Nvidia ออกมาวิจารณ์นโยบายของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่จำกัดการขายชิป AI ให้กับจีน โดยเรียกร้องให้ทำเนียบขาวลดอุปสรรคลง ก่อนที่บริษัทอเมริกันจะเสียตลาดนี้ให้กับคู่แข่งหน้าใหม่อย่าง Huawei ไปซะก่อน เป็นอีกประเด็นร้อนในสงครามเทคโนโลยีสหรัฐฯ-จีนค่ะ

 

Walmart ลดคน ปรับโครงสร้าง: ค้าปลีกยักษ์ใหญ่อย่าง Walmart ก็มีการปรับตัวค่ะ โดยมีข่าวออกมาว่าบริษัทกำลังลดจำนวนพนักงานในส่วนสำนักงานใหญ่และออฟฟิศอื่นๆ เพื่อควบคุมต้นทุนท่ามกลางความผันผวนทางเศรษฐกิจ

 

AT&T ซื้อธุรกิจไฟเบอร์จาก Lumen: AT&T บริษัทโทรคมนาคมรายใหญ่ ตกลงซื้อธุรกิจอินเทอร์เน็ตไฟเบอร์สำหรับผู้บริโภคของ Lumen Technologies ด้วยมูลค่า 5,750 ล้านดอลลาร์ เพื่อขยายบริการบรอดแบนด์ความเร็วสูงในเมืองใหญ่ๆ

 

Target หั่นคาดการณ์ยอดขาย: ส่วนค้าปลีกอีกเจ้าอย่าง Target กลับมีข่าวไม่ค่อยดีนัก โดยบริษัทได้ปรับลดคาดการณ์ยอดขายลง หลังจากผู้บริโภคเริ่มรัดเข็มขัด ชะลอการใช้จ่าย แถมยังเจอปัญหาจากภาษี การคว่ำบาตร และความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ลดลง

 

UnitedHealth หุ้นร่วงหนัก: UnitedHealth Group บริษัทประกันสุขภาพยักษ์ใหญ่ หุ้นร่วงหนักเลยค่ะ หลังจากมีรายงานข่าวจาก The Guardian ว่าบริษัทแอบจ่ายโบนัสให้กับสถานดูแลผู้สูงอายุ เพื่อให้ลดการส่งตัวผู้ป่วยที่อาการหนักไปโรงพยาบาล เป็นข่าวที่สร้างความเสียหายต่อภาพลักษณ์พอสมควรเลยค่ะ

 

Disney กับประเด็นพนักงานเวเนซุเอลา: Walt Disney Co. แจ้งพนักงานในฟลอริดาที่กำลังจะสูญเสียสิทธิพำนักชั่วคราวในสหรัฐฯ (เป็นชาวเวเนซุเอลาประมาณ 45 คน) ว่าพวกเขาอาจถูกเลิกจ้างในเดือนหน้า หลังจากศาลสูงสุดตัดสินให้ฝ่ายบริหารของทรัมป์สามารถเพิกถอนความคุ้มครองสำหรับชาวเวเนซุเอลา 350,000 คนได้

 

ผลกระทบวงกว้าง: ตลาดเอเชียและทั่วโลกจับตา

แน่นอนว่าความผันผวนและความไม่แน่นอนจากเศรษฐกิจเบอร์หนึ่งของโลก ย่อมส่งผลกระทบเป็นวงกว้างค่ะ ตลาดหุ้นในเอเชียเองก็คาดว่าจะปรับตัวลดลงตาม จากความกังวลเรื่องการขาดดุลที่บานปลายของสหรัฐฯ ทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยอีกชนิดก็ปรับตัวสูงขึ้น สวนทางกับราคาน้ำมันที่ลดลง

 

สรุปและความเห็นส่วนตัว

การประมูลพันธบัตรที่ดูเหมือนเป็นเรื่องทางเทคนิค ได้สะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างที่ใหญ่กว่านั้นมาก นั่นคือสุขภาพทางการคลังของสหรัฐฯ ที่กำลังอ่อนแอลง และส่งแรงสั่นสะเทือนไปทั่วโลก

สถานการณ์หนี้สินและการขาดดุลของสหรัฐฯ รวมถึงทิศทางอัตราดอกเบี้ย จะเป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดทิศทางตลาดการเงินและการลงทุนไปอีกพักใหญ่เลยค่ะ จนกว่าทรัมป์จะเข็นร่างกฎหมายภาษีและงบประมาณออกมาจนได้ค่ะ

ส่วนตัวแอดไม่ได้กังวลเรื่องหนี้เท่าไหร่ค่ะ สาเหตุคือ g > r อยู่ค่ะ.. ตามไปอ่านโพสต์อธิบายต่อได้ เดี๋ยวแปะลิงค์ในเม้นค่ะ

อย่างที่บอกไปตลาดสัปดาห์นี้ไม่ได้มีตัวเลขเศรษฐกิจอะไรสำคัญๆ ประกาศ ตลาดก็จะไปสนใจกับเรื่องอื่นๆ แทนค่ะ และตลาดหุ้นก็อยู่ในโซน Overbought อยู่แล้วด้วย จะย่อก็เป็นเรื่องปกติค่ะ

ถ้าย่อเยอะก็ยังมองว่าเป็นจังหวะ Buy On Dip อยู่เหมือนเดิมค่ะ (เยอะคือ อย่างน้อย 5% นะคะ ไม่ใช่ย่อ 1 วันแล้วรีบเข้าไปซื้อกันล่ะ)

ปล. เมื่อคืน Alphabet บวกสวนขึ้นมาเลย แสดงว่านักลงทุนชอบใจงาน Google I/O อยู่พอควรค่ะ ใครยังไม่ได้อ่าน สามารถตามไปอ่านกันได้ ลิงค์ในเม้นเหมือนกันค่ะ

 

 

 

ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก…  Beauty Investor


Q&K