ห้องเม่าปีกเหล็ก

‘แบงก์ชาติ’ห่วงเงินเฟ้อฝังลึก ส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยกำราบ

โดย อิคคิวซัง
เผยแพร่ :
136 views

‘แบงก์ชาติ’ห่วงเงินเฟ้อฝังลึก ส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยกำราบ

 

 

“แบงก์ชาติ” มั่นใจเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวต่อเนื่อง ส่วนความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อยังมีอยู่จากการส่งผ่านต้นทุนของผู้ประกอบการ ยอมรับห่วงเงินเฟ้อฝังในความเห็นของคน ย้ำยังจำเป็นต้องขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง หลังประเมินยังไม่อยู่ในจุดที่สบายใจ

key points 

  • ธปท.ชี้แม้ภาพรวมเศรษฐกิจฟื้นตัวต่อเนื่อง แต่ยังคงมีความเสี่ยงจากเงินเฟ้อที่มีความเสี่ยงสูง
  • หวั่นเศรษฐกิจ-ท่องเที่ยวฟื้น ตัวเร่งอุปสงค์ ดันเงินเฟ้อเพิ่ม
  • ย้ำการขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง เพื่อคุมเงินเฟ้อให้อยู่ในเป้าหมาย ไม่ให้เงินเฟ้อฝังในความคิดของผู้ประกอบการ ประชาชนว่ามีแนวโน้มสูงขึ้นต่อเนื่อง
  • กนง.ไม่ส่งสัญญาณชัด ขึ้นดอกเบี้ยสูงสุดที่ระดับใด ย้ำเป้าการดำเนินนโยบายการเงิน ต้องรักษาความเสี่ยงเงินเฟ้อเป็นสำคัญ
  • ย้ำการสะสม Policy Space ในภาวะปกติ ถือเป็นสิ่งจำเป็น ช่วยลดแรงกระแทกจากช็อคที่อาจเกิดขึ้นในระยะข้างหน้าได้
  • มองอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงควรจะเป็นบวก ในภาวะเศรษฐกิจโตตามดุลยภาพ ภายใต้การขยายตัวเศรษฐกิจที่3-4%

        แม้ล่าสุด คณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) จะขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง ที่ 0.25% มาสู่ 1.75%  แต่การดำเนินนโยบายการเงินหลังจากนี้จะเป็นที่จับตามากขึ้น หลังเกิดวิกฤติสถาบันการเงินในสหรัฐ ยุโรป ผลจากการขึ้นดอกเบี้ยแรงของธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) ทำให้ตลาดเริ่มคาดการณ์ว่า การดำเนินนโยบายการเงินของกนง.ในระยะข้างหน้า อาจต้องเผชิญความท้าทายมากขึ้น เพราะหากยิ่งขึ้นดอกเบี้ยสูงต่อเนื่อง สุดท้ายอาจซ้ำรอยผลกระทบจากการดำเนินนโยบายการเงินของเฟดได้

     และเงินเฟ้อที่เริ่มลดลง อาจเป็นจุดเริ่มต้นให้ “กนง.”ต้องกลับมาทบทวนในการหยุดการขึ้นดอกเบี้ยในระยะข้างหน้ามากขึ้น

นายปิติ ดิษยทัต ผู้ช่วยผู้ว่าการสายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) กล่าวว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทย มีการฟื้นตัวต่อเนื่อง แต่ในด้านความเสี่ยง แม้กนง.มองว่า เงินเฟ้อล่าสุดเดือนมี.ค.ปรับตัวลดลง แต่ข้างหน้า เงินเฟ้อมีความเสี่ยงสูง จากการฟื้นตัวเศรษฐกิจที่อาจเร่งอุปสงค์จากการจับจ่ายใช้สอยที่อาจมีเพิ่มขึ้น

      รวมถึงแนวโน้มการปรับขึ้นราคาสินค้าของผู้ประกอบการ ที่อาจเพิ่มขึ้นอีกในระยะข้างหน้า ที่จะเป็นแรงกดดันสำคัญ ทำให้เงินเฟ้อ ยังอยู่ระดับสูง และมีโอกาสค้างอยู่ระดับสูงนาน ตามเงินเฟ้อโลก

      ดังนั้น การพิจารณาการปรับขึ้นดอกเบี้ยในระยะข้างหน้าของ กนง. ยังไม่สามารถระบุได้ชัดเจนว่า อัตราดอกเบี้ยไทยจะขึ้นไปอยู่ที่จุดสูงสุดระดับใดและเมื่อใด แต่การพิจารณาของกนง.จะพิจารณาจากข้อมูลที่อัปเดตเข้ามาต่อเนื่อง ว่าสะท้อนกับนโยบายการเงินหรือไม่ โดยสิ่งที่กนง.ต้องรักษา คือ ความเสี่ยงเงินเฟ้อในระยะถัดไป

       อย่างไรก็ตามการขึ้นดอกเบี้ยของกนง. รอบล่าสุด กนง.ยังมองว่าจำเป็นต้องขึ้นดอกเบี้ยต่อ เพราะเห็นพัฒนาการเงินเฟ้อในภาพใหญ่ ที่ยังมีอยู่ และยังมองว่า เงินเฟ้อ ยังไม่ได้ลงมาอยู่ในจุดที่สบายใจ จากองค์ประกอบเงินเฟ้อที่ยังมีแนวโน้มอยู่ระดับสูง

      ดังนั้นสิ่งที่ต้องดูแลคือไม่ให้เงินเฟ้อฝังอยู่ในความคิดของผู้ประกอบการ ประชาชน ซึ่งอาจจะมีต่อการส่งผ่านไปสู่ราคาสินค้าและราคา และการปรับค่าจ้างราคาให้สูงขึ้น ซึ่งหากทำไม่ได้ ในระยะข้างหน้าการดำเนินนโยบายการเงิน อาจต้องใช้มาตรการแรงขึ้น ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อภาพรวม ดังนั้นกนง.ต้องให้มั่นใจว่า เงินเฟ้อจะลงตามที่ประเมินไว้

      “สิ่งที่ทำได้คือการดูแลเงินเฟ้อ ไม่ให้ฝังในหัวผู้ประกอบการ ประชาชนว่าจะขึ้นต่อเนื่อง จนเกิดความเคยชิน ทำให้เงินเฟ้อลงยาก  ซึ่งเงินเฟ้อ ยังไม่ลงมาถึงจุดที่กนง.สบายใจ ดังนั้นการดำเนินนโยบายการเงินเป็นสิ่งไม่ง่าย แต่สิ่งที่เราทำได้คือพยายามแยกแยะที่มาที่ไปของตัวแปรต่างๆ”

      อย่างไรก็ตาม มองว่า การดำเนินนโยบายการเงินสู่ภาวะปกติ หรือ Normalization คือ การสร้างขีดความสามารถในการดำเนินนโยบายการเงิน หรือ Policy Space ในช่วงที่สามารถทำได้ เพราะวิกฤติหรือช็อกสามารถเกิดขึ้นได้เรื่อยๆในอนาคต ดังนั้นหากกนง.ไม่สร้าง Policy Space เมื่อเกิดวิกฤติอาจทำให้เกิดแรงกระแทกและการดำเนินนโยบายการเงินระยะข้างหน้าจะลำบากมากขึ้น

      ส่วนอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง มองว่า หากอยู่ในสถานการณ์ที่เศรษฐกิจอยู่ระดับปกติ สู่ดุลยภาพ เงินเฟ้อกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายได้ ดอกเบี้ยที่แท้จริงควรจะเป็นบวก ภายใต้เศรษฐกิจไทยที่ขยายตัวที่ระดับ 3-4% แต่ปัจจุบันบริบทของไทย ยังไม่ได้อยู่ในบริบทนี้

จับตาการส่งผ่านเงินเฟ้อต่อเนื่อง

นายสุรัช แทนบุญ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายนโยบายการเงิน ธปท. กล่าวว่า แม้ล่าสุด สถานการณ์เงินเฟ้อ จะปรับตัวลดลง ในเดือนมี.ค. ทั้งเงินเฟ้อทั่วไปและเงินเฟ้อพื้นฐาน แต่ยังมีความเสี่ยงด้านสูง ที่ต้องจับตาต่อเนื่อง จากแรงกดดันด้านอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นได้ตาม การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย จากการท่องเที่ยวที่กลับมา 28ล้านคนในปีนี้

      รวมถึงการส่งผ่านต้นทุน แม้ปีนี้คาดเงินเฟ้อลดลงปีนี้ โดยเงินเฟ้อทั่วไปคาดอยู่ที่ 2.9% และเงินเฟ้อพื้นฐานที่ 2.4% ต้นทุนของผู้ประกอบการที่ยังอยู่ระดับสูง ทำให้ผู้ประกอบการยังต้องแบกรับต้นทุนเพิ่มขึ้น ดังนั้นอาจมีความจำเป็นที่ต้องส่งผ่านต้นทุนเพิ่มขึ้นได้ในระยะข้างหน้า โดยเฉพาะเมื่อสถานการณ์เศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้น

        ดังนั้นสิ่งที่ธปท.ต้องจับตา คือ พลวัตเงินเฟ้อพื้นฐาน แม้ราคาอาหารและพลังงาน แต่มีสองหมวดสำคัญ อาหารสำเร็จรูปและสินค้าภาคบริการที่จะปรับตัวขึ้น ทั้งนี้หากดูพลวัตเงินเฟ้อในช่วง 15ปีที่ผ่านมา ขับเคลื่อนหลักๆมาจากหมวดอาหาร และสินค้าที่ใช้ประกอบอาหาร และเงินเฟ้อที่ผ่านมามีความเชื่อมโยงกับอัตราเงินเฟ้อโลกที่ราว 60% ซึ่งอาจส่งผ่านให้เงินเฟ้อของไทยค้างอยู่ระดับสูงต่อไปได้

แบงก์ส่งผ่านดอกเบี้ยรายย่อยต่ำกว่าอดีต

        สำหรับภาวะการณ์เงินโดยรวม อยู่ในระดับผ่อนคลาย ไม่เป็นอุปสรรคต่อการระดมทุน หรือต่อเศรษฐกิจไทย และการส่งผ่านของการขึ้นดอกเบี้ย จากการขึ้นดอกเบี้ย 4 ครั้งของกนง.ที่ผ่านมา พบว่า มีการส่งผ่านสู่ระบบการเงินได้อย่างดี โดยเฉพาะดอกเบี้ยธุรกิจรายใหญ่ MLR ที่มีการส่งผ่านสูงถึง 68% สูงกว่าอดีตที่ 56%

      แต่ อัตราดอกเบี้ยรายย่อย MRR มีการส่งผ่านสู่ตลาดค่อนข้างต่ำกว่าในอดีต อยู่เพียง 44% สะท้อนว่า ธนาคารพาณิชย์ ต้องการช่วยเหลือและประคองลูกหนี้รายย่อยต่อเนื่อง ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของธปท.ที่ต้องการให้ช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางต่อเนื่อง

 นายสักกะภพ พันธ์ยานุกุล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธปท. กล่าวว่า หากดูเศรษฐกิจในภาพใหญ่ มีการฟื้นตัวต่อเนื่อง และฟื้นตัวสู่ระดับก่อนโควิด-19 แล้ว แต่มีความเสี่ยงจากต่างประเทศสูงขึ้น จากปัญหาวิกฤติสถาบันการเงิน

       โดยเศรษฐกิจไทยปีนี้ กนง.ประเมินว่า ขยายตัวอยู่ที่ 3.6% จากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีการปรับคาดการณ์เพิ่มขึ้นเป็น 28 ล้านคน จากการเปิดประเทศเร็วกว่าคาดของจีน

       ทั้งนี้ การปรับเพิ่มคาดการนักท่องเที่ยวนั้นเป็นผลจากจีนเปิดอนุญาตคนเดินทางมาเที่ยวไทยคาดว่านักท่องเที่ยวจีนจะเข้ามาปีนี้ 5.5 ล้านคน และเพิ่มเป็น 5.9 ล้านคนในปีหน้า โดยยังมีข้อจำกัดการเพิ่มจำนวนเที่ยวบินแล้ว และการกลับเข้ามาของนักท่องเที่ยวทุกสัญชาติ แต่หากสามารถลดข้อจำกัดจำนวนเที่ยวบินก็มีโอกาสจะเพิ่มขึ้นได้ ซึ่งจะส่งผลบวกต่อเนื่องกับทั้งการบริโภค การจ้างงานและการท่องเที่ยวเห็นได้จากการปรับประมาณการการบริโภคเพิ่มเป็น 4.0%

        สำหรับจำนวนนักท่องเที่ยวรายวันเฉลี่ยที่เข้ามาเดือนมี.ค.ราว 2.2 ล้านคน เพิ่มขึ้น 8% จากเดือนกุมภาพันธ์ ขณะอัตราการจองที่พักเพิ่มต่อเนื่อง และนักท่องเที่ยวจีนเดือนมี.ค.เข้ามา 2.7แสนคน เพิ่มขึ้นจากเดือนม.ค.ที่ต่ำกว่าแสนคนสะท้อนนักท่องเที่ยวจีนกลับมาใกล้เคียงมาเลเซีย จึงคาดว่าอีก1-2เดือนจำนวนนักท่องเที่ยวจีนจะแซงนักท่องเที่ยวจากมาเลเซีย

       ในแง่ของการส่งออกเริ่มเห็นสัญญาณฟื้นตัวทั้งเดือนม.ค.-ก.พ.ที่ทรงตัวและทยอยฟื้นตัวขึ้นมา และไตรมาสสองถึงสี่น่าจะฟื้นตัวดีขึ้นจากเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวดีขึ้น ซึ่งจะฟื้นตัวชัดเจนในปีหน้าโดยปีนี้กนง.คาดการณ์มูลค่าส่งออกจะติดลบ 0.7% จากเดิม 1.0% ขณะที่ราคาการส่งออกปรับขึ้นเล็กน้อยจากปริมาณส่งออก โดยภาพรวมจะเห็นการฟื้นตัวในครึ่งหลังของปีนี้

        อย่างไรก็ดี มองไปข้างหน้าเศรษฐกิจโลกยังมีความไม่แน่นอนสูง ทั้งจากปัญหาสถาบันการเงินของประเทศเศรษฐกิจหลัก และประเด็นเงินเฟ้อสูง โดยตลาดมีความกังวลเรื่องของ Banking และค่าประกันความเสี่ยง (CDS) จึงต้องตามใกล้ชิด

 

 


อิคคิวซัง