ห้องเม่าปีกเหล็ก

ส่องแนวโน้มโค้งสุดท้าย 6 หุ้นใหญ่ “กลุ่มโรงไฟฟ้า”

โดย POWER
เผยแพร่ :
276 views

ส่องแนวโน้มโค้งสุดท้าย

6 หุ้นใหญ่ “กลุ่มโรงไฟฟ้า”

.

อีกหนึ่งกลุ่มหุ้นที่นักลงทุนถามมาอยู่บ่อยครั้ง อย่าง “โรงไฟฟ้า” ล่าสุดประกาศผลประกอบการช่วงไตรมาส 3/66 ออกมาครบแล้ว ดังนั้น “โพยหุ้น” วันนี้ จะพามาส่องแนวโน้มผลประกอบการของหุ้นใหญ่ในกลุ่มโรงไฟฟ้า ว่าจะมีความน่าสนใจแค่ไหน Wealthy Thai หาคำตอบมาให้แล้ว

.

ไล่เรียงตั้งแต่ GULF นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด แนะนำ “TRADING” ราคาเป้าหมาย 47.50 บาท คาดกำไรปกติไตรมาส 4/66 ทำจุดสูงสุดใหม่รายไตรมาสได้ต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 2 ติดต่อกัน จากปัจจัยฤดูกาลของโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ Jackson ในสหรัฐฯ และโครงการลมในประเทศ

.

รวมถึงรับรู้รายได้จาก COD โรงไฟฟ้า GPD หน่วยที่ 2 ขนาด 662.5 MW ที่ได้เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2566 ที่ผ่านมา โดยทั้งปี 2566 คาดกำไร 14,688 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 29% จากปีก่อน

.

ต่อกันที่ GPSC นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) แนะนำ ซื้อ ปรับราคาเป้าหมายลงเป็น 60 บาท แต่ยังคงประมาณการกำไรปกติปี 66 ที่ 3.9 พันล้านบาท (จากขาดทุน -9 ล้านบาท ในปีก่อน) โดยคาดไตรมาส 4/66 ลดลงจากไตรมาสก่อน เพราะผลกระทบการปรับค่า Ft ลงเต็มไตรมาส และการผ่าน high season ของโครงการไซยะบุรี

.

ขณะที่ RATCH นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) แนะนำ ถือ ราคาเป้าหมาย 37.00 บาท โดยมองว่ากำไรไตรมาส 3/66 ออกมาแย่ จึงคาดว่ากำไรปี 2566-68 มี downside อีก 10-15% จากระดับปัจจุบัน ซึ่งประมาณการต่ำกว่าตลาด 3-7% อยู่แล้ว

.

อีกทั้งเชื่อว่ากำไรในไตรมาส 4/66 จะลดลงทั้งจากไตรมาสก่อน และช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจาก โครงการหงสา (Units 2 & 3) จะปิดซ่อมบำรุงตามแผนนานขึ้น, ผลประกอบการของ SPPs น่าจะอ่อนแอลง, เป็นช่วง low season โรงไฟฟ้าพลังน้ำ, SG&A สูงตามฤดูกาล และต้นทุนดอกเบี้ยสูงขึ้น

.

ส่วน EGCO นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด แนะนำ ถือ ราคาเป้าหมาย 160 บาท โดยยังให้น้ำหนักการลงทุนไปที่ปันผลที่จ่ายอย่างสม่ำเสมอ ปีละ 2 ครั้ง DIVIDEND YIELD ต่อปีอยู่ราว 5%

.

ส่วนแนวโน้มไตรมาส 4/66 คาดกำไรปกติอาจจะเห็นการอ่อนตัวลงเล็กน้อย จากหมดช่วงฤดูกาลโรงไฟฟ้าพลังน้ำ และความต้องการใช้ไฟฟ้าที่อาจจะลดลงในช่วงเข้าสู่ฤดูหนาวในหลายทวีปทั่วโลก เบื้องต้นยังคาดกำไรจากการดำเนินงานปกติทั้งปี 2566 ที่ 1 หมื่นล้านบาท ลดลง 18.1% จากปีก่อน

.

ด้าน BGRIM นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 40 บาท คาดว่า BGRIM จะมีผลประกอบการที่ค่อยๆ ฟื้นตัวในปี 67-68 และการปรับเพิ่มค่าไฟในช่วงต้นปี 67 อาจเป็นปัจจัยหนุนราคาหุ้นในระยะสั้นได้

.

ส่วนแนวโน้มผลประกอบการในไตรมาส 4/66 น่าจะอ่อนแอลงจากไตรมาสก่อน เพราะราคาไฟฟ้าที่ลดลง (ในส่วนของราคาก๊าซที่ ปตท. ช่วยสนับสนุนอาจมีผลต่อกระแสเงินสด แต่ไม่ส่งผลทางบัญชีมากนัก)

.

ปิดท้ายกันที่ BPP นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด แนะนำ “TRADING” ปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 16.50 บาท เบื้องต้นคาดกำไรไตรมาส 4/66 ที่ระดับ 700-800 ล้านบาท เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เพราะรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้า Temple II ในสหรัฐฯ และต้นทุนถ่านหินจีนที่ปรับตัวลง แต่เทียบไตรมาสก่อนคาดลดลงตามปัจจัยฤดูกาลของโรงไฟฟ้าในสหรัฐฯ

.

โดยปรับประมาณการกำไรปี 2566 ขึ้น 23% เป็น 5,842 ล้านบาท โต 108% จากปีก่อน เพื่อสะท้อนรายได้ และกำไรของโรงไฟฟ้าในสหรัฐฯ ที่สูงกว่าที่คาดไว้มาก (แรงหนุนจากการเกิดคลื่นความร้อนในสหรัฐฯ มากกว่าคาด)

.

สรุปจากข้อมูลดังกล่าว แนวโน้มไตรมาส 4/66 GULF อาจทำนิวไฮรายไตรมาส GPSC มีผลกระทบการปรับค่า Ft ลงเต็มไตรมาส และผ่านไฮซีซั่นไซยะบุรี RATCH จะลดลงทั้งจากไตรมาสก่อน และช่วงเดียวกันของปีก่อน ด้าน EGCO อาจจะเห็นการอ่อนตัวลงเล็กน้อย ขณะที่ BGRIM น่าจะอ่อนแอลงจากไตรมาสก่อน เพราะราคาไฟฟ้าที่ลดลง และ BPP คาดเติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เพราะรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้า Temple II ในสหรัฐฯ และต้นทุนถ่านหินจีนที่ปรับตัวลง

 

 


POWER