ห้องเม่าปีกเหล็ก

จะเทรดอย่างไร? กลาง Volume ที่เบาบาง แถม SET Index โดนหั่นเป้าเหลือ 1,650 จุด

โดย โจ๊กเกอร์
เผยแพร่ :
62 views

จะเทรดอย่างไร? กลาง Volume ที่เบาบาง แถม SET Index โดนหั่นเป้าเหลือ 1,650 จุด

สถานการณ์ตลาดหุ้นในช่วงนี้มีปัจจัยกดดันเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ที่มีผลต่อภาพรวมผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน และการฟื้นตัวของดัชนี จนทำให้ปริมาณซื้อขายในแต่ละวันที่เบาบางลง ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้ จะต้องทำอย่างไร หุ้นกลุ่มไหนที่น่าสะสม Wealthy Thai หาคำตอบมาให้แล้ว


จากปริมาณซื้อขายในแต่ละวันที่เบาบาง Wealthy Thai ได้ต่อสายตรงไปยัง นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ และนักกลยุทธ์ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ประเด็นดังกล่าวมองว่าไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะบรรยากาศการลงทุนของตลาดต่างประเทศโดยรวมก็ชะลอตัว โดยเฉพาะฝั่งยุโรป และอเมริกาทั้งนี้ยุโรป และอเมริกา จะเป็นประเทศที่ค่อนข้างได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย และยูเครน ทำให้ตัวเลขเศรษกิจและผลประกอบการที่มีโอกาสชะลอตัว


ดังนั้นประเด็นแรก เราจะมีความกังวลจากภาพตลาดต่างประเทศ ส่วนประเด็นที่สอง คือ โมเมนตัมของเศรษฐกิจระยะสั้นและผลประกอบการมีโอกาสชะลอตัวในไตรมาส 2 เป็นผลมาจากสถานการณ์ในเรื่องของความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย ยูเครน และการ Lockdown ในจีน ทำให้นักลงทุนมีการลงทุนอย่างระมัดระวัง เนื่องจาก ไม่เป็นที่แน่ชัดว่า หุ้นตัวไหนมีผลกระทบมากน้อยเพียงใด ทำให้มีการลงทุนอย่างระมัดระวัง มีการเก็งกำไรในหุ้นที่มีปัจจัยบวก และหุ้นมีประเด็นที่มั่นใจจริงๆว่าไตรมาส 2/65 ไม่ได้แย่ หรือเป็นหุ้นที่มีธีมการลงทุนที่ชัดเจน


รวมทั้งเรายังไม่เข้าสู่ช่วงของการลดงบดุล ที่ในช่วงเดือนมิ.ย.อย่างที่ทราบกันดีว่าจะมีเรื่องของการลดสภาพคล่องการลงทุนที่เป็นปัจจัยหลัก ทำให้นักลงทุนไม่กล้าใช้เงินลงทุนอย่างเต็มที่ อาจจะเป็นลักษณะการทยอยซื้อบ้าง ทำให้บรรยากาศตลาดช่วงสั้นน่าจะเห็นปริมาณการซื้อขายไม่ได้เยอะเท่ากับปกติไปอีกสักระยะหนึ่ง เบื้องต้นคาดจะยืดเยื้อไปอีก 2-3 เดือน


“ตอนนี้ความกังวลหลักของนักลงทุน คือเรารู้แล้วว่าไตรมาส 2 หลายๆอย่างชะลอตัว แต่ยังไม่น่ากลัวเท่ากับเศรษฐกิจถดถอยหรือเปล่า จึงจะเห็นว่านักลงบางส่วนนำเงินไปซื้อตราสารหนี้ พันธบัตรแทน ดังนั้นสถานการณ์จะยืดเยื้อไปจนกระทั่งเริ่มเห็นแล้วว่าเศรษฐกิจมีโมเมนตัมที่เริ่มกลับมาดี อย่างไทยครึ่งปีหลังจะมีผลดีเปิดประเทศ เปิดเศรษฐกิจ ที่จะเป็นตัวช่วย ทำให้ช่วงเดือนมิ.ย.นี้โมเมนตัมหลายๆอย่างควรจะมาแล้ว เพราะฉะนั้นถ้ามีตัวเลขอะไรมาคอนเฟิร์มภาพนี้ เช่น การบริโภคดีขึ้น หรืออะไรที่ออกมาคอนเฟิร์มว่าผ่านเรื่องแย่ๆไปแล้ว คิดว่าความมั่นใจก็จะค่อยๆกลับมา ซึ่งตอนนี้จะเป็นช่วงของการรอตัวเลขเศรษฐกิจที่ช่วยออกมายืนยันว่าน่าจะผ่านช่วงหลุมของไตรมาส 2 ไปแล้ว” นายกิจพณ กล่าว


สำหรับนักลงทุนที่สนใจเข้าลงทุนในช่วงนี้ นายกิจพณ บอกว่า ต้องมอง 2 มิติ 1.คือ ถ้าเป็นหุ้นที่มีพื้นฐานเป็นลักษณะทยอยลงทุน โดยเน้นธีมหุ้นเปิดเมือง 2.ประเด็นการเก็งกำไร ทั้งกลุ่มราคาสินค้าอาหารและสินค้าเกษตรที่ปรับตัวสูงขึ้น กลุ่มเนื้อสัตว์ น้ำตาล ที่ดูแล้วน่าสนใจ มีประเด็นเก็งกำไรที่น่าจะผลักดันราคา รวมทั้งกลุ่มหุ้นที่มีปัจจัยบวกอื่นๆเข้ามา ทั้งราคาสินค้าเกษตรดีขึ้น เป็นบวกต่อการบริโภคทำให้กลุ่มเช่าซื้อ จำนำทะเบียน จะได้รับผลบวกทั้ง MTC, SAWAD, TIDLOR, TK, KCAR


รวมทั้งกลุ่มที่ราคาลดลงมาอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็น KEX ที่ปรับลดลงมามาก แม้ภาพธุรกิจยังไม่เห็นจุดฟื้นตัวอย่างเต็มที่ การแข่งขันที่รุนแรง โดยช่วง 1 เดือนนับจากนี้จะปลอดภัยเพราะไม่มีเรื่องงบเข้ามาเกี่ยวข้อง ดังนั้นช่วง 1 เดือนข้างหน้าหุ้นที่ปรับตัวลดลงมามาก อาจจะมีโอกาสฟื้นตัว ทั้ง SCGP, GPSC, ASAP เป็นต้น เพราะข่าวร้ายยังไม่มา แต่จะเป็นเพียงการเก็งกำไรในช่วงเวลาประมาณ 1 เดือนข้างหน้า กล่าวคือ หากเป็นการทยอยสะสมให้เน้นหุ้นพื้นฐานดี แต่ไม่ต้องรีบร้อน ส่วนการเก็งกำไรอย่าลืมวางกลยุทธ์ตัดขาดทุน เพราะว่าในช่วง 1 เดือนข้างหน้าหลายๆตัวที่ฟื้น อาจจะเป็นหุ้นที่ไม่มีปัจจัยบวกอะไรเลย


ขณะที่นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ในภาวะปกติ ผลประกอบการไตรมาส 2ของทุกปีจะชะลอจากไตรมาสก่อนหน้า ตามปัจจัยฤดูกาลที่เป็น Low Season ของหลายธุรกิจ ขณะที่ปีนี้กลุ่มอุตสาหกรรมที่เป็นภาคการผลิต (35% ของ Market Cap. ทั้งตลาด) จะถูกกระทบจากแรงกดดันด้านต้นทุนมากขึ้น ส่วนกลุ่มที่พลังงานต้นน้ำ (10% ของ Market Cap. ทั้งตลาด) ที่เด่นมากในไตรมาส 1/65 จะเด่นน้อยลง เพราะกำไรสต็อกลดลงตามทิศทางราคาพลังงานที่เริ่มทรงตัว


เมื่อผนวกกับฐานกำไรสุทธิไตรมาส 2/64 อยู่ในระดับสูง 2.71 แสนล้านบาท จึงเป็นไปได้ที่กำไรสุทธิไตรมาส 2/65 จะชะลอตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ด้วยเช่นกัน ซึ่งจะทำให้ประมาณการกำไรสุทธิเดิมที่ 92 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 8%จากปีก่อน มี Downside มากขึ้น อย่างไรก็ตาม คาดกำไรสุทธิไตรมาส 2/65 จะเป็นระดับต่ำสุดของปี


ทั้งนี้แม้นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานจะคงประมาณการกำไรปีนี้เป็นส่วนใหญ่ แต่เริ่มมีความกังวลต่อกำลังซื้อที่ถูกบั่นทอนจากเงินเฟ้อ, ต้นทุนภาคการผลิตที่เร่งตัวขึ้นตามราคาพลังงาน และ การปรับตัวเพิ่มขึ้นของ Bond Yield ที่อาจกระทบต่อต้นทุนทางการเงินในระยะถัดไป


โดยเมื่อหักล้างกับแนวโน้มการปรับประมาณการขึ้นของกลุ่มโรงกลั่น จึงปรับประมาณการ EPS ของ SET Index ในปีนี้ลงเล็กน้อย 4% จากเดิม 92 บาทต่อหุ้น เหลือ 88 บาทต่อหุ้น ยังคงเห็นการเติบโตที่ระดับ 5%จากปีก่อน อิง PER Multiplier ที่ระดับ 18.7 เท่า ซึ่งเป็นระดับ +1 S.D. ของค่ำเฉลี่ย 10 ปีย้อนหลัง ปรับลดจากเดิม +2 S.D. แต่ PER Multiplier ยังเท่าเดิม เพราะค่าเฉลี่ย 10 ปีย้อนหลังปรับขึ้นจาก 15 เท่า เป็น 16 เท่า


สาเหตุที่ยังคง PER ในระดับสูงกว่าค่าเฉลี่ยเพราะ 1.GDP และผลประกอบการอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการฟื้นตัว ซึ่งจะเร่งตัวมากขึ้นในปีหน้า 2. SET Index ถูกกระทบจากสภาพคล่องที่ลดลงไม่มาก เพราะกระแสเงินทุนในช่วง 2.5 ปีที่ผ่านมายังเป็นไหลออกสุทธิอยู่ราว 2 แสนล้านบาท


ส่งผลให้ได้เป้าดัชนีปี 2565 ใหม่ที่ 1,650 จุด จากเดิม 1,720  จุด โดยคาดกรอบล่างที่ระดับ 1,510-1,590 จุด อิง Earning Yield Gap ที่ระดับ 3.1-3.4% และกรอบบนที่ระดับ 1,700-1,720 จุด กรณี 1.ภาคการท่องเที่ยวฟื้นตัวเร็วกว่าคาด (เราคาดนักท่องเที่ยวทั้งปีนี้ที่ 5 ล้านคนน้อยกว่าคาดการณ์ของสภาพัฒน์ที่ 7 ล้านคน) และ 2.หากมีการยุบสภาฯเพื่อเลือกตั้งใหม่ คาดว่าจะส่งผลให้เกิด Election rally ขึ้นในไตรมาส 4/65


ดังนั้นกรอบการเคลื่อนไหวของ SET Index ในช่วงที่เหลือของปีจะไม่กว้างมากนัก การปรับกลยุทธ์ด้วย Sector หรือ Stock Selection มีความสำคัญมากกว่า Market Timing โดยปัจจัยกดดันในเชิง Valuation หลักๆมาจากฝั่งต้นทุน ทั้งวัตถุดิบ ค่าแรง และต้นทุนทางการเงิน ส่วนปัจจัยหนุนที่อาจเปิด Upside ให้ฝั่งรายได้คือ เงินบาทที่อ่อนค่าต่อเนื่องและภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวเร็ว


Theme หลักของฝ่ายวิจัยในปีนี้คือ Defensive & Turnaround Play ที่ Valuation ยังไม่แพง และมีความยืดหยุ่นต่อการปรับตัวรับแนวโน้มเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นได้ดี ซึ่งกลุ่มที่น่าสนใจสำหรับการลงทุนในช่วงที่เหลือของปี คือ ธนาคารพาณิชย์, ค้าปลีก, ท่องเที่ยว, บันเทิง อาหารและเครื่องดื่ม หุ้นเด่น ได้แก่ KBANK, TTB, CPALL, MAKRO, M, BDMS, BEC เป็นต้น

 

 


โจ๊กเกอร์