ถือเป็นหุ้นกลุ่มแบงค์ที่มีควาน่าสนใจมากๆ
BBL พุ่งทำนิวไฮรอบ 3 ปี ขณะที่ราคาหุ้นปัจจุบันยังเทรดต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี โบรกฯ จับตาธุรกิจนายหน้าขายประกันให้ AIA คาดหนุนกำไรปีหน้าโตเกิน 10%
ราคาหุ้น ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL เพิ่มขึ้นแตะ 205 บาท ทำจุดสูงสุดใหม่รอบกว่า 3 ปี โดยตลอดทั้งปีนี้ราคาหุ้น BBL ปรับตัวขึ้นมาแล้ว 28.5% จากราคาปิดปีก่อนที่ 159.5 บาท ทั้งนี้ ราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้นสอดคล้องกับผลประกอบการช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งสามารถกลับมาเติบโตอีกครั้ง หลังจากกำไร 9 เดือน ของปี 58 – 59 ลดลงจากปีก่อนอย่างต่อเนื่อง
BBL ประกอบธุรกิจธนาคารพาณิชย์ที่ให้บริการทางการเงินครบวงจรแก่ธุรกิจทั้งขนาดใหญ่ SME ตลอดจนฐานลูกค้าบุคคล โดยมีสาขาในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ และมีเครือข่ายในต่างประเทศครอบคลุมเขตเศรษฐกิจสำคัญของโลก
ผลประกอบการ 9 เดือนที่ผ่านมา BBL มีกำไรสุทธิ 24,513.02 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.1% จากปีก่อนซึ่งทำได้ 23,547.4 ล้านบาท ทำให้กำไรรวมทั้งปีนี้มีโอกาสจะกลับมาเติบโตได้อีกครั้งในรอบ 3 ปี โดยเมื่อปี 57 บริษัทสร้างกำไรรวมสูงสุดต่อปีไว้ที่ 36,332.18 ล้านบาท ก่อนที่ในปี 58-59 กำไรจะลดลงต่อเนื่องเหลือ 34,180.63 ล้านบาท และ 31,814.85 ล้านบาท ตามลำดับ
บล.บัวหลวง ระบุว่า ในไตรมาส 4/60 คาดว่า สินเชื่อของลูกค้าบรรษัทและรายย่อยจะเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วใน เกิดจากโครงการสาธารณูปโภคที่จะพัฒนาการส่งออก และแผนกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อเพิ่มการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคของลูกค้ามากขึ้น เราคาดว่าการเติบโตของสินเชื่ออยู่ที่ประมาณ 2% ในปี 60 และ 4% ในปี 61 นอกจากนี้ BBL ตั้งเป้าหมายส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยที่ 2.3% หลังจากมีการประกาศส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยในเดือน 9 ปี 60 ที่ 2.3% แต่เรายังคงคาดการอยู่ที่ 2.2% สำหรับปีนี้ เนื่องจากธนาคารลด MRR ในช่วงปลาย พ.ค. 60 อาจมีผลกระทบต่อการฟื้นตัวและการแข่งขันที่กดดันสำหรับการปล่อยสินเชื่อ บรรษัท บริษัทและสินเชื่อรายย่อย คาดกำไรสุทธิยังคงอยู่ในเป้าหมายที่เราตั้งไว้ที่ 3.3 หมื่นล้าน ในปี 60 และเพิ่มเป็น 3.75 หมื่นล้าน ในปี 61
ด้าน บล.เอเชีย เวลท์ ระบุว่า แม้สินเชื่อของ BBL ยังคงหดตัว 0.1% ณ งวด 9 เดือนที่ผ่านมา แต่ธนาคารยังมั่นใจว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายการขยายตัวของสินเชื่อปี 60 ที่ราว 4% หนุนโดยควมต้องการสินเชื่อที่เพิ่มขึ้นตามฤดูกาลในไตรมาสสุดท้ายของปี เราจึงคงสมมติฐานการขยายตัวไว้ที่ 4% พร้อมคาด NPL ratio ที่ 3.9% ณ สิ้นปี 60 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนที่ 3.8% ทั้งนี้ เราคงประมาณการกำไรสุทธิปี 60 ที่ 3.26 หมื่นล้านบาท
สำหรับปี 61 นักวิเคราะห์ส่วนมากมองไปในทิศทางเดียวกันว่าจะเห็นการเติบโตของ BBL ต่อเนื่องจากปีนี้ นอกเหนือจากการเติบโตของสินเชื่อแล้ว ปัจจัยสำคัญที่เข้ามาช่วยหนุนคือความร่วมมือกับ AIA ในการเป็นตัวแทนขายประกัน ซึ่งจะช่วยเพิ่มสัดส่วนกำไรขึ้นมาได้ และในมุมของมูลค่าหุ้นแล้ว ปัจจุบัน BBL ยังคงซื้อขายกันต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชีอยู่เล็กน้อย เป็นที่มาของคำแนะนำ ซื้อ เกือบทั้งหมด ด้วยราคาเป้าหมายเฉลี่ย 220 บาท
บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุว่า การประกาศความร่วมมือในการขายผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตผ่านธนาคารกับ AIA ในช่วงต้น ต.ค. ที่ผ่านมา เป็นการปลดล็อคราคาหุ้นให้วิ่งขึ้นตามกลุ่ม สอดคล้องกับฐานกำไรที่จะทำจุดสูงสุดใหม่ในปีหน้า และยังเติบโตได้อีกมากในอนาคต โดยความร่วมมือกับ AIA จะเพิ่มสัดส่วนรายได้ Bancassurance (ชื่อเรียกของรูปแบบการขายประกันชีวิตผ่านธนาคาร โดยธนาคารเป็นนายหน้า) ปัจจุบัน BBL มีสัดส่วนไม่ถึง 5% ซึ่งจะขึ้นไปเท่ากับ SCB และ KBANK ที่มี 8-15% ของรายได้ค่าธรรมเนียม ถ้าค่าธรรมเนียม Bancassurance ของ BBL ขึ้นมาเท่ากับ SCB และ KBANK จะส่งผลต่อกำไรสุทธิราว 9-10%
จากรายได้ค่าธรรมเนียมปี 61 ที่คาดเติบโต 16% จากปีนี้ ทำให้กำไรน่าจะเติบโต 15.5% ขณะที่ราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายที่ P/BV ต่ำกว่า 1 เท่า และมี P/E เพียง 10 เท่า แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมายปี 61 ที่ 230 บาท
ด้าน บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ระบุว่า กำไรไตรมาส 3/60 ออกมาตามคาด ที่ 8.2 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.2% จากปีก่อน ทั้งนี้กำไรก่อนสำรองฯ สูงกว่าที่เราประมาณการไว้ อยู่ที่ 1.4 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% จากปีก่อน ทั้งนี้ มาจากรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยขยายตัวดี โดยมีกำไรจากการลงทุน 2.5 พันล้านบาท ช่วยหนุน ขณะที่รายได้ค่าธรรมเนียม & รายได้จากธุรกิจบลจ.และประกันก็เติบโตดีด้วย สำหรับ NPL ratio เพิ่มขึ้นเป็น 3.8% จากไตรมาสก่อนที่ 3.7% และเพิ่มจากปีก่อนที่ 3.2% แต่ก็ช่วยให้ Coverage ratio สูงขึ้นเป็น 154% จาก 151% เมื่อปีก่อน
ทั้งนี้ ราคาหุ้น BBL ยังต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี (BVs) ณ ราคาปัจจุบันซื้อขายที่ P/BV ปี 61 ที่ 0.9 เท่า ขณะที่แนวโน้มกำไรดีขึ้น โดยมาจากการเติบโตของสินเชื่อที่เพิ่มตามการฟื้นตัวของการลงทุนและเศรษฐกิจไทยโดยรวม รายได้ค่าธรรมเนียมและรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยอื่นขยายตัวได้มากขึ้นทั้งจากการส่งออกที่ดีต่อในปีหน้าและรายได้จากการขายประกันให้กับ AIA รวมถึงรายได้จากธุรกิจบลจ.ที่ก็ขยายตัวได้ดีเช่นกัน แนะนำซื้อ ให้ราคาพื้นฐาน 222 บาท เทียบเท่ากับ P/BV ปี 61 ที่เพียง 1.0 เท่า
ดูเหมือนว่าการสร้างรายได้เพิ่ม จะไม่ได้เป็นปัญหานักสำหรับ BBL ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสินเชื่อที่บริษัทยังเชื่อว่าจะยังเติบโตได้ในปีนี้ หรือจะเป็นโอกาสในการเพิ่มรายได้ค่าธรรมเนียมจากการเป็นตัวแทนขายประกันให้ AIA แต่สิ่งสำคัญที่ยังคงต้องติดตามต่อเนื่องคือ การเพิ่มขึ้นของ NPL ratio ซึ่งเป็นปัจจัยที่กดดันภาพรวมของทั้งกลุ่มธนาคารไว้ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา สุดท้ายแล้วหากบริษัทสามารถปลดล็อกในเรื่องนี้ได้ การจะกลับมาเติบโตได้อย่างที่หวัง ก็มีโอกาสอยู่ไม่น้อย