เปิดรายชื่อ 7 หุ้นสุดแกร่งปี 2566
ลุยฝ่าวิกฤติเศรษฐกิจสหรัฐฯถดถอย

.
แม้ว่าปี 2565 จะใกล้หมดปีเข้าไปทุกที แต่ปัจจัยการลงทุนที่มีผลต่อตลาดหุ้นทั่วโลกอย่าง “นโยบายอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นและตัวเลขเงินเฟ้อ” นั้น ก็ยังคงตามติดตามตลาดทุนไปถึงปีหน้าหรือ 2566 เป็นอย่างน้อย แต่ก็ใช่ว่าปัจจัยทั้ง 2 จะเป็นปัจจัยที่คอยกดดันตลาดเพียงอย่างเดียว
.
ก็เพราะว่ายังคงมีปัจจัยใหม่ๆที่ยังรอเข้ามาเซอร์ไพรส์ตลาดอยู่ในภายภาคหน้า โดยเฉพาะปัจจัยอย่าง “ภาวะเศรษฐกิจถดถอย” ที่ถูกพูดถึงขึ้นมาบ้างในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งหากเกิดขึ้นจริงแน่นอนว่านักลงทุนก็ต้องเตรียมรับมือไว้แต่เนิ่นๆ โดยจะต้องเตรียมตัวหรือปรับพอร์ตการลงทุนเช่นไร ทาง Wealthy Thai จะพาไปดูกัน
.
โดยบทวิเคราะห์จากบล.เอเซีย พลัส ได้ให้มุมมองว่า สัปดาห์นี้จะมีการประชุมธนาคารกลางที่สำคัญหลายประเทศ ได้แก่ FED, ECBและ BOE โดยคาดว่าธนาคารกลางทั้ง 3 แห่ง น่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในอัตราเท่ากันคือ 0.5% ซึ่งตลาดหุ้นก็ได้สะท้อนภาพความคาดหวังดังกล่าวไว้แล้ว
.
และในมุมของฝ่ายวิจัยที่ได้นำเสนอมา ก็เห็นว่าความกังวลเรื่อง เงินเฟ้อสูง และ ดอกเบี้ยขึ้นเร็วจะมีอิทธิพลต่อทิศทางตลาดการเงินลดลง แต่หลังจากนี้ไปจะมีความกังวลเรื่องภาวะเศรษฐกิจถดถอยเคลี่อนเข้ามาแทน โดยน้ำหนักต่อตลาดหุ้นจะค่อยๆ เพิ่มสูงขึ้นตามลำดับ
.
ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบันที่ Inverted Yield Curved สหรัฐฯทำจุดต่ำสุดต่อเนื่อง -84 bps ขณะที่การดำเนินนโยบายการเงินของ FED ยังคงดอกเบี้ยฯในระดับสูงอย่างน้อยถึงช่วงครึ่งปีแรกปี 66 ทำให้ความเสี่ยงสหรัฐฯที่จะเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยเป็นไปได้มาก จึงอาจสร้างแรงกดดันต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯและส่งผ่านเซนติเม้นท์เชิงลบมายังตลาดหุ้นบ้านเราได้แม้ความเสี่ยงภาวะเศรษฐกิจถดถอยในบ้านเราจะยังต่ำก็ตาม
.
ทั้งนี้หุ้นที่ให้ผลตอบแทนชนะตลาดในยามที่เศรษฐกิจสหรัฐฯเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยมาจาก 3 กลุ่ม ประกอบไปด้วย กลุ่มการบริโภคภายในประเทศ อย่างกลุ่มค้าปลีก ,กลุ่มที่มีความทนทาน อาทิ กลุ่มโรงไฟฟ้าและสาธารณูปโภค กลุ่มโรงพยาบาล และกลุ่มอัตราผลตอบแทนเงินปันผลสูงและหากเพิ่มเงื่อนไขของกำไร 2566 มีแนวโน้มเติบโตจะได้หุ้นแกร่งฝ่า วิกฤติภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ ถดถอยอย่าง CRC ,CPALL ,RATCH ,GULF ,BDMS ,TISCO และ AP
.
โดย CRC บล.โนมูระ พัฒนสิน ให้คำแนะนำ “ซื้อ” และให้ราคาเป้าหมายที่ 48 บาท เนื่องจากชอบ CRC เป็นหุ้นที่ได้ประโยชน์สูงสุดจากนักท่องเที่ยวต่างชาติฟื้น ,คาดการณ์กำไรปกติทั้งปี 2565-2566 จะโตก้าวกระโดดหรืออยู่ที่ 5,958 ล้านบาท(เติบโตจากปีก่อนหน้า 3,055%) และ 8,470 ล้านบาท (เติบโตจากปีก่อนหน้า 42%) ซึ่งคิดเป็นการโตเฉลี่ยมากที่สุดในกลุ่มค้าปลีก นอกจากนั้นปลายปีถึงต้นปีหน้า ยังเซนติเม้นท์เชิงบวกจากการ spin-off ธุรกิจลูกหนังสือออนไลน์ (Meb) ด้วย
.
ขณะที่ CPALL บล.ดาโอ ให้คำแนะนำ “ซื้อ” โดยปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 75.00 บาท จากเดิม 68.00 บาท จากภาพรวมของไตรมาส 4/65 ที่ยังเห็นการฟื้นตัวที่โดดเด่นจากการบริโภคและการท่องเที่ยวในประเทศ พร้อมกับปรับกำไรสุทธิปี 2566 ขึ้นอีก 4% อยู่ที่ 1.94 หมื่นล้านบาท (เติบโตจากปีก่อนหน้า 34.9%) จาก 1.44 หมื่นล้านบาทในปี 2565 (เติบโตจากปีก่อนหน้า 10.8%) ด้วยการฟื้นตัวของการบริโภคและเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวดีต่อเนื่อง โดยหนุนหลักจากสาขาในเมืองท่องเที่ยวจากการท่องเที่ยวในประเทศและตัวเลขท่องเที่ยวที่เริ่มกลับมา
.
ด้าน RATCH บล.โนมูระ พัฒนสิน ให้คำแนะนำ “ซื้อ” และให้ราคาเป้าหมายที่ 68.00 บาท โดยมองว่าสามารถลงทุนรับการฟื้นตัวของกำไรในปี 2566 มาอยู่ที่ 9,945 ล้านบาท(เติบโตจากปีก่อนหน้า 33.7%) จากปี 2565 จะอยู่ที่ 7,438 ล้านบาท(ลดลงจากปีก่อนหน้า4.2%) หลังโรงไฟฟ้า Paiton เข้ามาหนุน
.
โดยสามารถทยอยสะสมในช่วงที่ราคาหุ้นมีปัจจัยบวกจำกัด หากรับความเสี่ยงโครงการระหว่างพัฒนาของ NEJV ได้ แม้เรายังไม่รวมในประมาณการ แต่หากความสำเร็จของโครงการระหว่างพัฒนาของ NEJV ผิดจากตลาดคาด อาจส่งให้มีแรงกดดันได้
.
สำหรับ GULF บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ให้คำแนะนำ “ซื้อ” และให้ราคาเป้าหมายที่ 66 บาท เนื่องจากมีมุมมองเชิงบวกต่อผลประกอบการในไตรมาส 4/65 การขายไฟของ IPP และ GJP คาดว่าจะฟื้นตัว โรงไฟฟ้า SPP ได้ประโยชน์จากค่า Ft ที่สูงขึ้นมีผลเต็มไตรมาส ขณะที่ต้นทุน NG ลดลงจากไตรมาสก่อนหน้า
.
รวมถึงยังมีส่วนแบ่งกำไรจากโรงไฟฟ้าพลังงานลมขนาด 170MW ที่ถือในสัดส่วน 50% จากการซื้อเงินลงทุนจาก GUNKUL เต็มไตรมาสครั้งแรก รวมถึงการเข้าสู่ไฮซีซั่นของ BKR2 และการ COD หน่วยที่ 4 ของ GSRC อีกกว่า 660 เมกะวัตต์เต็มไตรมาส คาดกำไรปกติมีโอกาสทำระดับสูงสุดใหม่ ที่ 3,300 ล้านบาทขึ้นไป และหนุนให้ทั้งปีอยู่ที่ 12,023 ล้านบาท (เติบโตจากปีก่อนหน้า 56.8%) ในปี 66 คงประมาณการกำไรปกติที่ 18,900 ล้านบาท (เติบโตจากปีก่อนหน้า 57.2%)
.
ส่วน BDMS บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ให้คำแนะนำ “ซื้อ” และให้ราคาเป้าหมายที่ 37.40 บาท เนื่องจากยังคงมุมมองเป็นบวกต่อแนวโน้มผลประกอบการในปี 2565 ที่ 12,215 ล้านบาท (เติบโตจากปีก่อนหน้า 58%) และปี 2566 ที่ 13,999 ล้านบาท (เติบโตจากปีก่อนหน้า 15%) ซึ่งเติบโตเด่นสุดในกลุ่ม รพ.เนื่องจากรับผลบวกโดยตรงจากการเปิดประเทศ
.
TISCO บล. เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ให้คำแนะนำ “ซื้อ” และราคาเป้าหมาย 105 บาท เนื่องจากคาดว่าผลตอบแทนจากเงินปันผลจะอยู่ที่ 8.0% ซึ่งสูงที่สุดในกลุ่ม เนื่องจากธนาคารจะรักษาอัตราการจ่ายเงินปันผลให้อยู่ในระดับสูงเพื่อให้ ROE ดีขึ้น ส่วนกำไรปี 2565 จะอยู่ที่ 7,207 ล้านบาท (เติบโตจากปีก่อนหน้า 6.2%) และปี 2566 จะอยู่ที่ 7,217 ล้านบาท (เติบโตจากปีก่อนหน้า 0.1%)
.
สุดท้าย AP บล.โนมูระ พัฒนสิน ให้คำแนะนำ “ซื้อ” และราคาเป้าหมายที่ 15.00 บาท เนื่องจากเป็นหนึ่งใน top pick โดยจุดเด่นจาก business direction ปี 2565-2566 ในเชิงรุกผลักดันให้เป็นสถิติใหม่สูงสุดทั้งยอดขาย, การโอนและกำไรสุทธิได้ โดยในปี 2565 ที่ 5.91 พันล้านบาท(เติบโตจากปีก่อนหน้า30%) และปี 2566 ที่ 6.06 พันล้านบาท (เติบโตจากปีก่อนหน้า3%)
.
ในขณะที่มีทำให้คาดรักษาเบอร์ 1 ในด้านมาร์เก็ตแชร์ได้ต่อเนื่อง นอกจากนี้ราคาซื้อขายในปัจจุบันที่ PER เพียง 5.5 ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่มฯ จึงมองว่าน่าสนใจลงทุน