ห้องเม่าปีกเหล็ก

อินเดีย-สหรัฐฯ ดีลนี้มีเดิมพัน: ถ้าไม่ลงตัว ใครจะเจ็บ?

โดย บุปผาวดี
เผยแพร่ :
98 views

อินเดีย-สหรัฐฯ ดีลนี้มีเดิมพัน: ถ้าไม่ลงตัว ใครจะเจ็บ?

จากที่เคยเป็นประเทศที่ยืนอยู่ตรงกลางระหว่างขั้วโลกตะวันตกกับขั้ว BRICS วันนี้อินเดียกลายเป็นประเทศที่อเมริกา “เอ็นดู” เป็นพิเศษไปเสียแล้ว

หลังการเจรจาต่อเนื่องในกรุงเดลีเมื่อต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา อินเดียกับสหรัฐฯ กำลังเร่งเครื่องเพื่อให้ทันลงนามข้อตกลงการค้าชั่วคราว ก่อนถึงเส้นตายวันที่ 9 กรกฎาคม 2025

 

 

ถ้าดีลไม่จบในเวลาที่กำหนด สหรัฐฯ จะกลับมาเก็บภาษีตอบโต้ 26% ต่อสินค้าอินเดียทันที ซึ่งรวมถึงของเด็ดอย่างข้าว กุ้ง สิ่งทอ และรองเท้า ทั้งหมดนี้คือสินค้าส่งออกสำคัญของอินเดีย และถ้าโดนภาษีชุดนี้เข้าไป จะไม่ใช่แค่เจ็บตัว แต่จะเจ็บทั้งอุตสาหกรรม

ฝั่งอินเดียก็ไม่ได้ยอมง่าย ๆ เพราะในเวทีเจรจา พวกเขาเรียกร้องให้สหรัฐฯ ลดภาษีนำเข้าสินค้าแรงงานเข้มข้นอย่างสิ่งทอ อัญมณี และเครื่องหนัง ขณะเดียวกันก็พยายามปกป้อง “ตลาดนม” ที่มีเกษตรกรรายย่อยกว่า 80 ล้านคนอยู่เบื้องหลัง

ส่วนฝั่งสหรัฐฯ เองก็กดดันให้เปิดตลาดสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า ผลิตภัณฑ์จากนม และพืชดัดแปลงพันธุกรรม ซึ่งอินเดียยังไม่เปิดไฟเขียวเต็มที่ เพราะกลัวกระทบต่อความมั่นคงของอาหารและชีวิตเกษตรกรระดับรากหญ้า

ประเด็นที่ลำบากใจที่สุดคือ “นมกับ GM” เพราะแม้ฝั่งอเมริกาจะยกเป็นวาระสำคัญ แต่อินเดียไม่อยากเสี่ยงเสียคะแนนเสียงจากเกษตรกรผู้เลี้ยงวัวที่เป็นฐานเสียงใหญ่ของประเทศนี้

อีกประเด็นที่ร้อนแรงไม่แพ้กันคือเรื่องเหล็กและอลูมิเนียม สหรัฐฯ ปรับภาษีขึ้นไปที่ 50% ส่วนอินเดียก็กำลังชั่งใจว่าจะตอบโต้กลับ หรือจะร้องเรียนที่ WTO

แม้จะดูเหมือนว่าแต่ละฝ่ายมีจุดยืนชัดเจนและไม่มีใครอยากถอย แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ ทั้งสองประเทศต่างก็รู้ดีว่า “จำเป็นต้องร่วมมือ” เพราะเป้าหมายใหญ่ของดีลนี้ไม่ใช่แค่หลีกเลี่ยงภาษีในระยะสั้น แต่คือการเพิ่มมูลค่าการค้าระหว่างกันให้ทะลุ 5 แสนล้านดอลลาร์ภายในปี 2030

ในทางเศรษฐกิจ สหรัฐฯ เป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของอินเดีย 4 ปีติดต่อกัน โดยในปี 2024-25 มูลค่าการค้าระหว่างกันอยู่ที่ 131,840 ล้านดอลลาร์ และอินเดียได้เปรียบการค้ากว่า 41,000 ล้านดอลลาร์

พูดง่าย ๆ ก็คือ อินเดียไม่ได้เป็นแค่พาร์ตเนอร์ที่ดี แต่กลายเป็นประเทศที่สหรัฐฯ ต้องเอาใจ เพราะทั้งตลาดใหญ่ ทรัพยากรเยอะ แถมยังเป็นกำลังสำคัญที่ถ่วงดุลจีนในเอเชียได้

แม้จะยังไม่บรรลุข้อตกลงทั้งหมด แต่ทั้งสองฝ่ายเริ่มต้นจากสิ่งที่ทำได้ก่อน หรือที่เรียกว่า “เก็บผลไม้เตี้ย” เช่น การลดภาษีสินค้าบางรายการ โดยหวังว่าการเริ่มต้นเล็ก ๆ จะนำไปสู่ข้อตกลงใหญ่ในฤดูใบไม้ร่วง

ถ้ามองในมุมยุทธศาสตร์ นี่อาจเป็นหนึ่งในดีลที่กำหนดทิศทาง “การค้าที่ไม่ต้องเลือกข้าง” ของอินเดีย และเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของความสามารถในการต่อรอง ที่แม้จะมีประชากรมากที่สุดในโลก แต่ก็ยังสามารถยื้อดีลกับประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ ได้อย่างมีกลยุทธ์

สุดท้าย ไม่ว่าดีลนี้จะจบแบบไหน คำถามสำคัญคือ อินเดียกำลังจะกลายเป็น “ลูกคนโปรด” ของสหรัฐฯ จริงหรือไม่? และถ้าใช่… จีนจะยอมหรือเปล่า?

 

 

ขอบคุณทีมาข้อมูลเนื้อหาจาก..  KIM Property Live


บุปผาวดี