โบรกกสิกรฯ เปิดโผ 8 หุ้นที่มีโอกาสแตกพาร์ เพิ่มสภาพคล่องซื้อขาย ลุ้นหุ้น AOT นำร่อง แนะจับตาผลขออนุมัติผู้ถือหุ้นในการประชุม 27 ม.ค. เตือนรายย่อยเล่นเก็งกำไรหุ้นวิ่งเกินตัวเสี่ยงสูงเพราะแตกพาร์ไม่มีผลต่อพื้นฐานธุรกิจ แถมหลังแตกพาร์ราคาอาจไหลลง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่หุ้นหลายตัวเริ่มเคลื่อนไหวเต็มมูลค่าแล้ว ส่งผลให้มีการลุ้นกันว่าบางบริษัทอาจใช้วิธีการแตกพาร์เพื่อเพิ่มสภาพคล่องการซื้อขาย จนทำให้มีการเก็งกำไรอย่างคึกคัก โดย บมจ.ท่าอากาศยานไทย (AOT) ถือเป็นบริษัทแรกที่เตรียมแตกพาร์ปีนี้ หลังจากที่มติคณะกรรมการบริษัท (บอร์ด) อนุมัติการแตกพาร์จาก 10 บาท เป็น 1 บาท ตั้งแต่วันที่ 29 พ.ย. 2559 และจะมีการขอมติประชุมสามัญผู้ถือหุ้นในวันที่ 27 ม.ค. 2560 และ AOT จะดำเนินการจดทะเบียนสำหรับราคาพาร์ใหม่ภายใน 14 วัน จึงคาดว่าจะเริ่มเทรดที่ราคาพาร์ใหม่ช่วงครึ่งแรกของเดือน ก.พ.นี้ โดยการแตกพาร์ AOT จะทำให้จำนวนหุ้นเพิ่มขึ้นกว่า 10 เท่าจากปัจจุบัน
นายประกิต สิริวัฒนเกตุ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ปกติจะพบว่าบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ที่จะแตกพาร์ (มูลค่าที่ตราไว้) ส่วนใหญ่ราคาหุ้นมักเกินระดับ 100 บาทต่อหุ้นขึ้นไป และราคาหุ้นค่อนข้างหยุดนิ่งนาน หรือไม่เคลื่อนไหวมาก จึงทำให้บริษัทต้องแตกพาร์ เพื่อดันให้ราคาหุ้นมีการเคลื่อนไหวบ้าง ซึ่งปัจจุบันมีหุ้นหลายตัวที่เข้าข่ายกรณีดังกล่าว จึงคิดว่ามีโอกาสสูงที่แนวโน้มหุ้นเหล่านี้จะดำเนินการแตกพาร์
ทั้งนี้ บริษัทได้ประเมินหุ้นที่ฝ่ายวิเคราะห์ครอบคลุมทั้งหมดในตลาดพบว่า มีจำนวน 8 หุ้นที่มีโอกาสแตกพาร์ได้สูง อาทิ บมจ.ท่าอากาศยานไทย (AOT), บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (SCC), บมจ.ปูนซีเมนต์นครหลวง (SCCC), บมจ.ปตท. (PTT), บมจ.เคซีอี อีเลคโทรนิคส์ (KCE), บมจ.ผลิตไฟฟ้า (EGCO), บมจ.โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ (BH) และ บมจ.กรุ๊ปลีส (GL)
แหล่งข่าวจากวงการตลาดทุนกล่าวว่า ปัจจุบันเริ่มกลับมาเล่นเก็งกำไรหุ้นที่เตรียมแตกพาร์กันอย่างคึกคัก เพราะคาดหวังหุ้นจะมีสภาพคล่องในการซื้อขายที่มากขึ้น แต่ขณะเดียวกันถือเป็นความเสี่ยงที่อาจทำให้มีการเก็งกำไรที่เกินตัวได้เนื่องจากการแตกราคาพาร์ไม่ได้มีผลต่อพื้นฐานของบริษัทและต้องระวังกรณีหลังการแตกพาร์ราคาหุ้นมีโอกาสจะปรับตัวลดลงมาแรงกว่าเดิม
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า ในช่วงก่อนการแตกพาร์ของแต่ละบริษัท อาจมีแรงซื้อเก็งกำไรมากขึ้นกว่าระดับปกติบ้าง เพราะคาดว่าหุ้นที่มีสภาพคล่องสูงขึ้น อาจจะทำให้ราคาหุ้นเคลื่อนไหวได้มากขึ้นในอนาคต
"การแตกพาร์ของ บจ. ไม่ได้มีผลต่อพื้นฐานธุรกิจของบริษัทนั้น ให้เปลี่ยนไป แต่ทำให้จำนวนหุ้นมีปริมาณเยอะขึ้นเท่านั้น ส่วนราคาหุ้นที่ปรับตัวลดลงมา น่าจะอยู่ในระดับที่หลายคนพอจะซื้อหรือรายย่อยสามารถร่วมเป็นเจ้าของได้ง่ายขึ้น" นายเทิดศักดิ์กล่าว
นายมงคล พ่วงเภตรา ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เคทีบี(ประเทศไทย) กล่าวว่า การเล่นเก็งกำไรบจ.ที่มีลุ้นแตกพาร์ในขณะนี้ยังไม่น่ากังวล ยกเว้นหุ้นที่มีการเก็งกำไรก่อนแตกพาร์ไปมากแล้ว ขณะที่นโยบายแตกพาร์หุ้น จะขึ้นอยู่กับนโยบายของคณะกรรมการบริษัท ซึ่งเป็นเรื่องที่คาดได้ยาก ดังนั้น จึงแนะนำให้นักลงทุนศึกษาข้อมูลของหุ้นที่จะแตกพาร์ให้ครบถ้วนก่อนลงทุนทุกครั้ง
ที่มา : http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1485749364