ห้องเม่าปีกเหล็ก

Microsoft, Google, Amazon และ Meta กำลังทำสิ่งเดียวกันอยู่แบบไม่ได้นัดหมาย

โดย อินทรีย์ไม่บินเป็นฝูง
เผยแพร่ :
57 views

Microsoft, Google, Amazon และ Meta กำลังทำสิ่งเดียวกันอยู่แบบไม่ได้นัดหมาย

คือ “เอา AI ที่เคยเป็นของเล่นทดลอง มายกเครื่องเป็นโครงสร้างพื้นฐานใหม่ของโลกดิจิทัล”

ถ้าเราเคยดูรอบที่อินเทอร์เน็ต, สมาร์ตโฟน หรือคลาวด์เกิดขึ้น

วันนี้ Generative AI กำลังเดินเส้นทางนั้นซ้ำอีกรอบ

จากเดิมที่โฟกัสคำถามว่า “โมเดลเก่งแค่ไหน”

กำลังกลายเป็นคำถามว่า

“ใครสร้างท่อ ส่งพลังประมวลผล AI ได้ใหญ่สุด เร็วสุด และถูกสุด”

ในอินโฟกราฟิกที่คุณทำไว้ จึงไม่ได้เล่าแค่ตัวเลขตลาดโตจาก 22.2 พันล้านดอลลาร์ในปี 2025 ไปสู่กว่า 109.4 พันล้านดอลลาร์ในปี 2030

แต่กำลังชี้ว่า ใครคือคนวางสายไฟ ใครคือคนสร้างโรงไฟฟ้า และใครคือเจ้าของเมืองที่เก็บค่าเช่าได้ยาว ๆ

..

 

จาก “โมเดลเจ๋ง” → สู่ “โครงสร้างพื้นฐาน AI”

ช่วงแรกของกระแส GenAI ทุกคนตื่นเต้นกับโมเดล

ChatGPT เก่งแค่ไหน Midjourney วาดรูปยังไง Claude ตอบดีหรือเปล่า

แต่พอเวลาผ่านไป นักธุรกิจและนักลงทุนเริ่มเห็นอย่างหนึ่ง

โมเดลจะเก่งกว่านี้อีกกี่รุ่นก็ได้ แต่สิ่งที่สร้าง “กำแพงคูเมือง” จริง ๆ คือ

 

ใครคุมข้อมูล

ใครคุมชิปและฮาร์ดแวร์

ใครคุมคลาวด์และแพลตฟอร์ม

 

ใครฝัง AI เข้าไปในชีวิตประจำวันของผู้ใช้ได้แนบเนียนที่สุด

ตรงนี้แหละที่ยักษ์ทั้งสี่ – Microsoft, Google, Amazon, Meta – ลงสนามเต็มกำลัง

..

Microsoft: จาก Office ไปสู่ “AI Operating System ของงานทุกอย่าง”

Microsoft ไม่ได้มอง AI เป็นแค่ฟีเจอร์เพิ่มใน Word หรือ Excel

แต่พยายามทำให้ Copilot กลายเป็น “เลเยอร์ใหม่ของการทำงาน”

 

ด้านบนคือผลิตภัณฑ์ที่คนใช้กันทุกวัน

Word Excel PowerPoint Outlook Teams GitHub

ตรงกลางคือ Copilot ที่เสียบเข้าทุกจุด

ช่วยสรุปเมล สร้างสไลด์ เขียนโค้ด ประชุมแทนเรา

 

ชั้นล่างสุดคือ Azure + Supercomputer สำหรับเทรนโมเดลของ OpenAI และลูกค้าองค์กรรายอื่น

ยิ่งลูกค้าใช้ Copilot มากเท่าไหร่

ก็ยิ่งถูกล็อกให้อยู่ในระบบนิเวศของ Microsoft มากเท่านั้น

เพราะ data ทุกอย่างเริ่มวิ่งอยู่ใน Azure และผูกกับสิทธิ์การใช้งานขององค์กร

สำหรับนักลงทุน ภาพที่เห็นคือ

รายได้ Subscription จาก Office 365 และ Azure ถูก “อัพเกรดระดับราคา” ด้วย Copilot

ถ้า adoption เกิดจริง margin ระยะยาวของ MSFT มีสิทธิ์บวมขึ้นอีกชั้นแบบแทบไม่ต้องขายฮาร์ดแวร์เองเลย

..

Google: เมื่อ “เครื่องมือค้นหาโลก” ต้องปั้น AI เป็นทางด่วนใหม่

Google อยู่ในจุดที่แปลกที่สุด

เพราะเป็นทั้งผู้เล่นเก่าในโฆษณาออนไลน์

และเป็นหนึ่งในผู้นำเทคโนโลยี AI มาตั้งแต่ยุค Transformer

แต่การมาของ ChatGPT ทำให้ Google ต้องเร่งเปลี่ยนจากโหมด “วิจัย” เป็นโหมด “ยิงจริง”

ด้านฮาร์ดแวร์ Google ดัน TPU รุ่นใหม่ต่อเนื่อง และวางสถาปัตยกรรมศูนย์ข้อมูลให้รองรับ GenAI เต็มรูปแบบ

ด้านซอฟต์แวร์และโมเดล Gemini คือศูนย์กลาง

ไม่ว่าจะเป็นเวอร์ชันเล็กที่ฝังมือถือ หรือเวอร์ชันใหญ่สำหรับงานวิจัยและ enterprise

 

ด้านธุรกิจ Google Cloud พยายามกลายเป็น “AI Platform” ที่ลูกค้าสามารถเอาโมเดลของ Google หรือโมเดลอื่นมาต่อใช้งานได้

สิ่งที่ตลาดยังไม่ได้ให้เครดิตเต็มที่คือ

ปริมาณ “ช่องทางปล่อย AI” ของ Google นั้นโหดมาก

ตั้งแต่ Search, YouTube, Android, Chrome, Maps, Gmail

ถ้าวันหนึ่ง Google ตัดสินใจเปิดสวิตช์เก็บเงินแบบจริงจังจาก AI Features เหล่านี้

ตัวเลขรายได้อาจจะขยับเร็วชนิดที่ตลาดต้องมานั่งวัดมูลค่าใหม่ทั้งบ้าน

..

Amazon: เจ้าพ่อ e-commerce ที่กลายเป็น “โรงงานขาย AI ให้บริษัทอื่น”

Amazon ไม่ได้ชนะเพราะมีโมเดลที่ดังที่สุด

แต่ชนะเพราะเป็น “ห้างขาย AI แบบครบวงจร” ให้ธุรกิจอื่นมานั่งเลือกเอาเอง

 

ใจกลางคือ AWS – เจ้าตลาดคลาวด์อันดับหนึ่งของโลก

ทั้งการเช่าพลังประมวลผล, เก็บข้อมูล, ระบบเครือข่าย

 

ชั้นบนคือบริการ AI อย่าง Bedrock ที่ให้บริษัทเลือกใช้โมเดลหลายค่าย

จะใช้ Claude จะใช้ Llama หรือจะใช้โมเดลในเครือ Amazon เองก็ได้

 

รอบ ๆ คือ ecosystem ของพาร์ตเนอร์

ตั้งแต่บริษัท fintech, healthtech ไปจนถึงลูกค้าระดับรัฐบาล

จุดแข็งของ Amazon คือ “การไม่บังคับลูกค้าให้ใช้โมเดลของตัวเองอย่างเดียว”

แต่เปิดให้เลือกได้ แล้วเก็บค่าทางด่วนจากทุกคน

ในฐานะหุ้น มันทำให้ AMZN เป็น play แบบ “กองทุนรวม AI + Cloud + Consumer”

เวลาหนึ่งโมเดลตกกระแส ก็ยังมีรายอื่น ๆ มารันผ่าน AWS อยู่ดี

..

Meta: จากโซเชียลมีเดีย → สู่ผู้ปล่อยโมเดลโอเพนซอร์สที่ครองพื้นที่นักพัฒนา

หลายคนอาจมอง Meta ว่ามาทาง VR/Metaverse เยอะเกิน

แต่ในฝั่ง AI Meta กลับเดินเกมต่างจากคนอื่นอย่างชัดเจน

 

Llama กลายเป็นโมเดลโอเพนซอร์สที่คนพัฒนาต่อกันทั่วโลก

ตั้งแต่สตาร์ตอัพเล็ก ๆ ไปจนถึงบริษัทขนาดกลางที่อยากควบคุมข้อมูลเอง

 

ในแพลตฟอร์มของตัวเอง Meta กำลังใช้ AI

ทั้งให้ Creator ทำคอนเทนต์เร็วขึ้น

ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการยิงโฆษณา

และสร้าง assistant ฝังอยู่ใน WhatsApp / IG / Messenger

โมเดลโอเพนซอร์สของ Meta เหมือนการแจก “เมล็ดพันธุ์” ให้คนทั้งโลกเอาไปปลูก

ยิ่งมีคนใช้ Llama มากเท่าไหร่

Meta ก็ยิ่งได้ share mind และมีโอกาสช่วยขายโฆษณา + บริการเพิ่มเติมใน ecosystem ตัวเอง

..

จาก Innovation Wave → Infrastructure Wave

สิ่งที่บทความและอินโฟของคุณกำลังจับคือ

GenAI กำลังเดินออกจากเฟส “ทดลองของเล่นใหม่” และเข้าสู่เฟส “ท่อส่งกำไรระยะยาว”

เราจะเห็น pattern แบบเดียวกันในทุกบริษัท

ปีแรก ๆ โฟกัสโชว์เดโม สร้าง buzz สร้าง narrative

ปีถัดมาเริ่มสร้าง data center, จัดหาชิป, ลงทุน infra หนักแบบไม่กลัว CapEx

 

พอถึงจุดหนึ่ง จะกลับมาถามคำถามว่า “จะเก็บเงินยังไงให้สมกับที่ลงทุนไป”

การเติบโตของตลาด GenAI ที่คาดโตเฉลี่ยปีละกว่า 30–40% จึงไม่ได้แปลว่า

ทุกบริษัทในกราฟจะโตเท่ากัน

แต่จะแปลว่า

ใคร

– คุมท่อน้ำ

– คุมปลั๊กไฟ

– และคุมหน้าบ้านที่ลูกค้าใช้งานจริง

คนนั้นจะได้กำไรหนากว่าคนอื่น

..

แล้วนักลงทุนอย่างเรา ควรอ่านภาพนี้ยังไง

ถ้าดูในมุม “หุ้น” อินโฟหนึ่งหน้าที่คุณทำ สามารถแปลเป็นคำถามเช็คพอร์ตได้หลายข้อเลย

 

หุ้นตัวนี้ขาย AI เป็น “สินค้า” หรือ “โครงสร้างพื้นฐาน”

ขายเทรฟฟิกสั้น ๆ หรือขายสัญญาระยะยาวที่ลูกค้าหนีลำบาก

 

รายได้จาก AI เป็นแค่ 5–10% ของธุรกิจใหญ่

หรือเป็นทุกอย่างของบริษัท ถ้าสะดุดทีเดียวทั้งงบสั่น

 

บริษัทต้องลง CapEx หนักขนาดไหน เพื่อวิ่งตามสงคราม AI

ใช้เงินตัวเองหรือกู้มา ถ้ารายได้จริงเลื่อนออกไป 2–3 ปี งบดุลจะเริ่มหายใจไม่ออกหรือยัง

คำถามเหล่านี้จะช่วยแยกออกว่า

ใครคือ “เจ้าของทางด่วนยุค AI”

และใครคือ “ร้านเล็ก ๆ ข้างทาง ที่ขายของตามกระแส”

..

สรุปแบบสไตล์หุ้นพอร์ทระเบิด

Generative AI ไม่ใช่แค่เทคโนโลยีใหม่ แต่กำลังกลายเป็น “ระบบประสาทส่วนกลาง” ของเศรษฐกิจดิจิทัลรอบใหม่

Microsoft วางตัวเป็น OS ของการทำงาน

Google พยายามเปลี่ยน search + cloud ให้เป็น AI rail

Amazon สร้างห้างขายโมเดลบน AWS

Meta ปล่อย Llama ให้ทั้งโลกใช้ แล้วหวังเก็บผลตอบแทนผ่านโฆษณาและแพลตฟอร์ม

หน้าที่ของนักลงทุนยุคนี้

ไม่ใช่แค่ถามว่า “AI ตัวไหนเจ๋งสุด”

แต่ต้องถามว่า

ใครกำลังสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่คนอื่นหนีไม่พ้น

และเราจะเข้าไปถือส่วนหนึ่งของโครงสร้างนั้น

ในราคาที่ความเสี่ยงรับได้

ก่อนที่ตลาดทั้งโลกจะรู้สึกตัวว่ามันกลายเป็นของจำเป็นไปแล้ว

..

Disclaimer

ข้อมูลเพื่อการศึกษา ไม่ใช่คำแนะนำการลงทุน ผู้ลงทุนควรตัดสินใจด้วยตนเอง และยอมรับความเสี่ยงทุกกรณี

 

 

ที่มาเนื้อหาจาก..  หุ้นพอร์ทระเบิด


อินทรีย์ไม่บินเป็นฝูง