นักวิเคราะห์ชี้! นโยบายหาเสียงด้านพลังงาน
มีความเสี่ยงกระทบหุ้นโรงไฟฟ้ามากที่สุด
แนะชะลอลงทุนหวั่น "Underperform" ตลาด

.
อีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า ประเทศไทยจะถึงช่วงเวลาสำคัญของอีเว้นท์ใหญ่ที่ทุกคนในประเทศรอเป็นเวลานาน อย่างการเลือกตั้ง ซึ่งทำให้เมื่อใกล้ถึงเวลาเข้าไปทุกทีเหล่าพรรคการเมืองก็จะเริ่มเข็นนโยบายออกมาเพื่อเรียกคะแนนเสียงจากประชาชน
.
โดยนโยบายส่วนใหญ่ก็จะมุ่งไปที่ปากท้องของประชาชนอย่างการลดค่าใช้จ่ายหรือภาระค่าจ่ายลงต่างๆลงเพื่อให้คุณภาพชีวิตขึ้น แต่ในทางกลับกันก็มีผลกระทบต่อผู้ประกอบการเช่นเดียวกัน ในวันนี้ทาง Wealthy Thai จึงจะพาไปดูมุมมองของนักวิเคราะห์ถึงประเด็นดังกล่าวกัน
.
สำหรับมุมมองของนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด มีความเห็นว่า จากการรวบรวมข้อมูลการ Debate หาเสียงของพรรคการเมือง ปัจจุบันหลายฝ่ายมีการนำเสนอประเด็นเกี่ยวกับมาตรการลดค่าใช้จ่ายของประชาชน ซึ่งส่วนใหญ่ให้น้ำหนักด้านการลดภาระค่าไฟฟ้าและค่าน้ำมัน โดยมีการนำเสนอถึงแนวทางปรับโครงสร้างธุรกิจไฟฟ้า ปรับลดค่า Ft และปรับโครงสร้างราคาน้ำมัน
.
ดังนั้น จึงมองว่าประเด็นดังกล่าวเป็นความเสี่ยงต่อหุ้นพลังงานในหลายอุตสาหกรรม ได้แก่ 1.ผู้ประกอบการโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ IPP เช่น GULF RATCH โดยเฉพาะกรณีค่าความพร้อมจ่ายของโรงไฟฟ้าที่ไม่ได้เดินเครื่อง เนื่องจากกำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศสูงกว่าความต้องการใช้
.
2.ผู้ประกอบการโรงไฟฟ้าประเภท SPP เช่น GPSC BGRIM อาจได้รับผลกระทบผ่านการปรับลด -ยกเลิกค่า Ft ซึ่งจะทำให้รายได้การจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่ลูกค้าอุตสาหกรรม (IU) ลดลง
.
3.อุตสาหกรรมปิโตรเคมี โดยเฉพาะผู้ประกอบการที่กระบวนการผลิตใช้วัตถุดิบจากก๊าซในอ่าว ไทย (PTTGC) เนื่องจากเริ่มมีการเสนอให้นำก๊าซธรรมชาติจากอ่าวไทยที่ราคาถูกกว่ามาผลิตไฟฟ้าก่อน
.
4.สถานีบริการน้ำมัน (PTG OR) มีความเสี่ยงจากการกดดันค่าการตลาดเพื่อลดราคาขายปลีก
.
5.อุตสาหกรรมโรงกลั่น เช่น TOP SPRC BCP IRPC มีความเสี่ยงจากการนา เสนอแผนปรับปรุง โครงสร้างราคาน้ำมันสำเร็จรูปที่ปัจจุบันอ้างอิงตลาดสิงคโปร์
.
6.อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพเอทานอล และไบโอดีเซล อาจมีความเสี่ยงต่อการอุดหนุนราคาเชื้อเพลิงทางเลือก กรณีเกิดการปรับปรุงนโยบายภาษี และกองทุนอนุรักษ์พลังงานในโครงสร้าง ราคาน้ำมัน
.
ดังนั้นจากประเด็นข้างต้นให้น้ำหนักหุ้นที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจไฟฟ้าจะมีความเสี่ยงมากที่สุด เช่น GULF ,RATCH ,GPSC ,BGRIM รวมทั้ง PTT ที่มีความเสี่ยงด้านนโยบายรัฐสูง เนื่องจากมีกระทรวงการคลังถือหุ้นใหญ่ ส่วนกลุ่มที่เสี่ยงรองมาจะเป็นธุรกิจโรงกลั่น – สถานีบริการน้ำมัน เช่น TOP SPRC BCP IRPC OR PTG
.
รวมทั้งผู้ประกอบการปิโตรเคมี Gas-based PTTGC สำหรับอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพ มองว่ายังมีความเสี่ยงไม่มาก เพราะเชื่อว่าการปรับเปลี่ยนนโยบายด้านภาษี และกองทุนอนุรักษ์พลังงานเกิดขึ้นได้ยาก ขณะที่หุ้นในกลุ่มฯ ที่มีความเสี่ยงน้อย ได้แก่ PTTEP ,BANPU และ IVL เนื่องจากเป็นอุตสาหกรรมที่ผู้ประกอบการส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ และดำเนินธุรกิจในต่างประเทศเป็นหลัก
.
แต่อย่างไรก็ตาม แม้ทางพื้นฐานยังชอบหุ้นโรงไฟฟ้า เช่น GPSC ,BGRIM และ GULF เนื่องจากผลประกอบการปี 2566 ฟื้นตัวจากทิศทางค่า Ft สูงขึ้น และได้ประโยชน์จาก Theme การลงทุน Defensive, Anti-Commodity, Bond Yield Peak ประกอบกับประเด็นดังกล่าวยังมีความไม่ชัดเจนในรายละเอียด และที่ผ่านมาหลายครั้งไม่สามารถดำเนินแก้ไขโครงสร้างได้ เนื่องจากเกี่ยวข้องกับหลายฝ่ายทั้งภาคธุรกิจ ภาคประชาชน และการลงทุน
.
โดยเชื่อว่าข่าวนี้จะทำให้เกิดความกังวล สร้าง Overhang ต่อหุ้นพลังงานทั้งธุรกิจโรงไฟฟ้า - ธุรกิจน้ำมัน โดยเฉพาะยิ่งเข้าใกล้วันเลือกตั้ง อาจทำให้ข่าวดังกล่าวมีน้ำหนักมากขึ้น นอกจากนี้สถานการณ์เศรษฐกิจโลกเปราะบาง ยังเป็นปัจจัยกดดันหุ้นพลังงานที่เป็น Global Play ดังนั้นหากรับความเสี่ยงได้น้อย เชิงกลยุทธ์อาจพิจารณาชะลอการลงทุนไปก่อน เนื่องจากหุ้นในกลุ่มมีโอกาส Underperform ภาพรวมตลาด