ส่องแนวโน้มหุ้นโรงไฟฟ้า เป็นจังหวะน่าสะสม
เมื่อภาครัฐปรับขึ้น Ft ช่วยหนุนกำไรปี 66

.
หลังจากที่ราคาหุ้นของกลุ่มโรงไฟฟ้าต้องกระท่อนกระแท่นมาเป็นระยะเวลาพอสมควร ด้วยปัจจัยกดดันอย่างราคาต้นทุนต่างๆที่ต้องปรับตัวขึ้นตามราคาสินค้าโภคภัณฑ์จนทำให้ผลการดำเนินงานในช่วงที่ผ่านมาถูกกดดันให้ชะลอตัวลงหรือบางบริษัทก็ติดลบกันไป
.
แต่เหมือนว่าในช่วงไม่กี่วันก่อนจะมีข่าวดีอย่างสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) อนุมัติให้ขึ้นค่า Ft อีก 0.9701 บาทต่อ KWh (เป็น 1.9044 บาท)สำหรับเดือนมกราคม-เมษายน ปี 2566 ซึ่งมากกว่าที่ตลาดคาดเอาไว้ว่าจะขึ้นเพียง 0.6488 บาทต่อ KWh
.
ทำให้นักลงทุนเริ่มกลับมาให้ความสนใจในหุ้นกลุ่มพลังงานแต่จะมีหุ้นตัวไหนที่จะเป็นดาวเด่น ในวันนี้ทาง Wealthy Thai จะพาผู้อ่านและนักลงทุนที่สนใจไปดูกัน
.
โดยบล.กรุงศรี ให้มุมมองว่าการขึ้นค่า Ft จะส่งผลดีกับ SPP มากที่สุด และโรงไฟฟ้าโซลาร์ที่มีแอดเดอร์ 8 บาท/KWh ซึ่งเมื่ออิงจากประมาณการของเราและสัดส่วนผู้ใช้ไฟฟ้าในภาคอุตสาหกรรมคิดเป็น 18% ของรายได้ของ BGRIM และ 46% ของรายได้ของ GPSC ในไตรมาส 3
.
การวิเคราะห์ sensitivity ของเราแสดงว่าการขึ้นค่า Ft ทุกๆ 0.01 บาท/KWh จะทำให้กำไรสุทธิของ BGRIM เพิ่มขึ้น 23 ล้านบาทต่อปี และของ GPSC เพิ่มขึ้น 63 ล้านบาทต่อปี ซึ่งหมายความว่ากำไรสุทธิของ BGRIM จะเพิ่มขึ้นเป็น 2.2 พันล้านบาท จากเดิมที่ 1.9 พันล้านบาท และของ GPSC จะเพิ่มขึ้นเป็น 6.1 พันล้านบาท จากเดิมที่ 5.5 พันล้านบาท
.
อย่างไรก็ตาม กำไรที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวอิงจากฝั่งของรายได้เท่านั้น แต่ผลกระทบที่แท้จริงจะน้อยกว่านั้นเพราะต้นทุนก๊าซ (BGRIM, GPSC) และถ่านหิน (GPSC) สูงขึ้น ซึ่งจากการวิเคราะห์ Sensitivity ของเราพบว่าต้นทุนก๊าซที่เพิ่มขึ้น 1 บาท/ล้านบีทียู จะทำให้กำไรสุทธิของ BGRIM ลดลง 18 ล้านบาท และของ GPSC ลดลง 30 ล้านบาท
.
มาร์จิ้นของ BGRIM และ GPSC น่าจะดีขึ้นในครึ่งปีแรกปี 2566 เราพบว่าราคา LNG ในเดือนนี้เพิ่มขึ้นเป็น 36เหรียญสหรัฐฯ/ล้านบีทียู หลังจากที่ลดลงไปอยู่ที่ 25 เหรียญสหรัฐฯในเดือนกันยายน ทั้งนี้ โรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซเป็นเชื้อเพลิงคิดเป็นสัดส่วน 75% และ 51% ของกำลังการผลิตของ BGRIM และ GSPC ตามลำดับ
.
เรายังคงคำแนะนำถือ BGRIM โดยให้ราคาเป้าหมายที่ 33 บาท และคาดการณ์กำไรสุทธิในปี 2566 จะอยู่ที่ 1.89 พันล้านบาท(พลิกกลับมามีกำไรจากปีก่อนหน้าขาดทุนอยู่ที่ 703 ล้านบาท) ส่วน GPSC แนะนำ ถือ ให้ราคาเป้าหมายที่ 65 บาท และคาดการณ์กำไรสุทธิปี 2566 จะอยู่ที่ 5.55 พันล้านบาท(เติบโตจากปีก่อนหน้า 211.5%)
.
ด้านนักวิเคราะห์จากบล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ให้มุมมองว่าการขึ้นค่า Ft เป็นการปรับขึ้นในภาคอุตสาหกรรมเพียงอย่างเดียวทำให้โรงไฟฟ้า SPP โรงไฟฟ้าขนาดกลาง-เล็ก ที่ขายให้แก่นิคมอุตสาหกรรมอย่าง GPSC และ BGRIM จะช่วยสนับสนุนรายได้ขยับขึ้นมาได้ขณะที่ต้นทุนปรับตัวลดลงเป็นอย่างมากเมื่อเทียบกับช่วงพีคในต้นปี จะช่วยให้ผลประกอบการกลับมามีกำไรได้ในปี 2566
.
โดยส่งผลให้วันที่15 ธ.ค. ราคาหุ้นของ GPSC และ BGRIM ปรับตัวขึ้นอย่างมาก ซึ่งสำหรับนักลงทุนที่จะเข้าสะสมไม่ทันก็ยังสามารถทยอยสะสมได้ ส่วนนักลงทุนที่ไม่อยากไล่ราคาในตัวหุ้นที่ปรับขึ้นมาสูงก็สามารถลงทุนใน GULF CKP และ RATCH ที่มีความน่าสนใจเช่นเดียวกัน
.
สำหรับ GULF บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ให้คำแนะนำ “ซื้อ” และให้ราคาเป้าหมายที่ 66 บาท เนื่องจากมีมุมมองเชิงบวกต่อผลประกอบการในไตรมาส 4/65 การขายไฟของ IPP และ GJP คาดว่าจะฟื้นตัว โรงไฟฟ้า SPP ได้ประโยชน์จากค่า Ft ที่สูงขึ้นมีผลเต็มไตรมาส ขณะที่ต้นทุน NG ลดลงจากไตรมาสก่อนหน้า
.
รวมถึงยังมีส่วนแบ่งกำไรจากโรงไฟฟ้าพลังงานลมขนาด 170 เมกะวัตต์ ที่ถือในสัดส่วน 50% จากการซื้อเงินลงทุนจาก GUNKUL เต็มไตรมาสครั้งแรก รวมถึงการเข้าสู่ไฮซีซั่นของ BKR2 และการ COD หน่วยที่ 4 ของ GSRC อีกกว่า 660 เมกะวัตต์เต็มไตรมาส คาดกำไรปกติมีโอกาสทำระดับสูงสุดใหม่ ที่ 3,300 ล้านบาทขึ้นไป และหนุนให้ทั้งปีอยู่ที่ 12,023 ล้านบาท (เติบโตจากปีก่อนหน้า 56.8%) ในปี 66 คงประมาณการกำไรปกติที่ 18,900 ล้านบาท (เติบโตจากปีก่อนหน้า 57.2%)
.
ขณะที่ CKP บล.พาย ให้คำแนะนำ "ซื้อ" ราคาเป้าหมายที่ 6.40 บาท จากแนวโน้มการเติบโตของกําไรที่มั่นคงในปี 2566 หรืออยู่ที่ 2.50 พันล้านบาท(เติบโตจากปีก่อนหน้า 4.3%) โดยได้ปัจจัยสนับสนุนจากการผลิตไฟฟ้าที่สูงขึ้นจาก XPCL พร้อมกับการขยายตัวของอัตรากําไรของโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมหลังจากราคาก๊าซอ่อนตัวลง
.
ส่วน RATCH บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ให้คำแนะนำ “ซื้อ” และให้ราคาเป้าหมายที่ 44 บาท โดยราคาหุ้นมีปัจจัยบวกรออยู่ที่คาดว่ามีโอกาสถูกเพิ่มเข้าสู่ดัชนี SET50 รอบครึ่งปีแรกปี 2566 ซึ่งประกาศภายในสัปดาห์หน้า ส่งผลให้หุ้นกลับมาได้รับความสนใจจากนักลงทุนสถาบันในประเทศเพิ่มขึนอีกครั้ง
.
สำหรับปี 2566 คาดกำไรปกติเข้าสู่วัฏจักรการเติบโตหรือเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 70% เป็น 1.25 หมื่นล้านบาท จากการรับรู้รายได้จากการลงทุนใน Nexif Energy และ Paiton คาดธุรกรรมเสร็จสิ้นในไตรมาส 1/66 ขณะเดียวกันราคาหุ้นมีอัพไซต์จากการยื่นประมูลโรงไฟฟ้าพลังงานทางเลือกรอบใหม่รวม 500 เมกะวัตต์ และมูลค่าหุ้นที่น่าสนใจสะท้อนจาก PER ที่ซื้อขายอยู่ที่เพียง 7.2 เท่า