จีน "ป่วยหนัก" สุดในประวัติศาสตร์ สัญญาณอันตรายที่นักลงทุนต้องรู้ เดี๋ยวนี้

สวัสดีค่ะทุกคน วันนี้อยากชวนมานั่งคุยเจาะลึกเรื่องเศรษฐกิจจีนกันแบบยาวๆ หน่อยนะคะ เพราะข้อมูลล่าสุดที่เพิ่งออกมาเมื่อเช้าวันที่ 30 พฤศจิกายน 2025 นี้ ถือว่าเป็นสัญญาณที่ "ไม่ธรรมดา" และสะท้อนภาพความจริงที่น่ากังวลของพี่ใหญ่แห่งเอเชียได้อย่างชัดเจนที่สุดในรอบหลายปี
เรามาเริ่มกันที่ตัวเลขสำคัญที่เป็นพระเอกของเรื่องนี้กันก่อน นั่นคือดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ หรือที่เราเรียกกันติดปากว่า PMI (Purchasing Managers’ Index) ค่ะ
อธิบายให้เข้าใจง่ายที่สุดคือ ดัชนีตัวนี้มี "เส้นแบ่งเขตแดน" อยู่ที่ระดับ 50 จุด ถ้าตัวเลขออกมามากกว่า 50 แปลว่าเศรษฐกิจภาคส่วนนั้นกำลังขยายตัว แต่ถ้าต่ำกว่า 50 เมื่อไหร่ แปลว่ากำลัง "หดตัว" หรือแย่ลงนั่นเองค่ะ
สิ่งที่เกิดขึ้นในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาคือ ภาคการผลิตของจีนยังคงจมอยู่ในภาวะหดตัวอย่างต่อเนื่อง โดยตัวเลข PMI ภาคการผลิตอย่างเป็นทางการออกมาอยู่ที่ 49.2 ซึ่งต่ำกว่าเส้นแบ่ง 50 จุด และที่น่าตกใจคือ นี่เป็นเดือนที่ 8 ติดต่อกันแล้วที่ตัวเลขนี้ต่ำกว่าเกณฑ์ ซึ่งถือเป็นการหดตัวที่ยาวนานที่สุดเป็นประวัติการณ์ และยังต่ำกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์จาก Bloomberg คาดการณ์ไว้ที่ 49.4 อีกด้วยค่ะ
แต่ฝันร้ายไม่ได้จบแค่ภาคโรงงานนะคะ เพราะความอ่อนแอนี้ได้ลามไปยังภาคส่วนอื่นๆ แล้ว ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติจีนระบุว่า ดัชนี PMI ภาคที่มิใช่การผลิต (Non-manufacturing PMI) ซึ่งครอบคลุมทั้งภาคการก่อสร้างและภาคบริการ ก็ร่วงลงมาอยู่ที่ระดับ 49.5 ในเดือนพฤศจิกายน จากที่เคยประคองตัวอยู่ที่ 50.1 ในเดือนตุลาคม
การหลุดระดับ 50 ครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 3 ปีเลยทีเดียว สาเหตุหลักมาจากการทรุดตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์และบริการที่เกี่ยวข้องกับที่อยู่อาศัย ซึ่งเป็นเหมือนแผลเรื้อรังของเศรษฐกิจจีนในตอนนี้ค่ะ
ภาพรวมที่ออกมานี้เป็นเครื่องบ่งชี้เบื้องต้นว่า เศรษฐกิจที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของโลกกำลังเผชิญกับไตรมาสที่ยากลำบาก หลังจากต้องเจอกับความผันผวนของการค้าโลกและการลดลงของการลงทุนในระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
โดยตั้งแต่ต้นไตรมาสนี้ ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมขยายตัวน้อยที่สุดนับตั้งแต่ต้นปี ในขณะที่ยอดการส่งออกกลับหดตัวลงอย่างผิดคาด เนื่องจากความต้องการจากตลาดโลกไม่สามารถชดเชยยอดการส่งสินค้าไปยังสหรัฐฯ ที่ลดฮวบลงได้
ในมิติของภูมิรัฐศาสตร์และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แม้ว่าบรรยากาศความตึงเครียดกับสหรัฐฯ จะดูผ่อนคลายลงบ้าง หลังจากมีการเจรจาสงบศึกชั่วคราวในการพบปะกันระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ที่เกาหลีใต้เมื่อเดือนที่แล้ว แต่ข้อตกลงนี้ก็ยังดูเปราะบางมากค่ะ รายละเอียดสำคัญๆ เช่น เรื่องการส่งออกแร่หายาก (Rare Earths) จากจีน ยังคงอยู่ในระหว่างการเจรจา
นอกจากนี้ จีนยังต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนทางการค้าเพิ่มขึ้นจากข้อพิพาททางการทูตกับญี่ปุ่นในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งทำให้จีนกำลังพิจารณามาตรการตอบโต้ทางเศรษฐกิจอยู่ด้วย
เมื่อมองกลับเข้ามาดูปัจจัยภายในประเทศ อุปสงค์หรือความต้องการซื้อในประเทศที่อ่อนแอก็ยังคงเป็นเมฆหมอกก้อนใหญ่ที่ปกคลุมอนาคตของภาคการผลิตจีนอยู่ค่ะ
ยอดค้าปลีกเติบโตช้าลงเป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกันในเดือนตุลาคม ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาที่ซบเซายาวนานที่สุดนับตั้งแต่ช่วงที่มีการปิดร้านค้าเพราะการระบาดของโควิดเมื่อกว่า 4 ปีก่อน
หลายคนอาจจะสงสัยว่า เศรษฐกิจแย่ขนาดนี้ รัฐบาลจีนจะไม่อัดฉีดเงินเพิ่มเหรอ? คำตอบจากสถานการณ์ปัจจุบันคือ ผู้กำหนดนโยบายของจีนดูจะ "ไม่รีบร้อน" ที่จะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมในตอนนี้ค่ะ
เหตุผลสำคัญคือเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ที่ตั้งไว้ประมาณ 5% สำหรับปีนี้ ดูเหมือนจะยังอยู่ในวิสัยที่ทำได้ แม้เศรษฐกิจจะชะลอตัวลงในช่วงหลังก็ตาม
อีกประเด็นคือ จีนได้มีการอัดฉีดมาตรการกระตุ้นไปแล้วก่อนหน้านี้ โดยมีมูลค่ารวมถึง 1 ล้านล้านหยวน (หรือประมาณ 1.41 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ) ตั้งแต่ช่วงปลายเดือนกันยายน ซึ่งรวมถึงการโควตาพันธบัตรที่ยังไม่ได้ใช้เพื่อให้มณฑลต่างๆ กู้ยืมไปขยายการลงทุนและชำระหนี้ค้างชำระแก่บริษัทเอกชน รวมถึงการจัดหาเงินทุนใหม่สำหรับธนาคารนโยบายเพื่อเร่งการลงทุน
สำหรับทิศทางในอนาคตอีก 5 ปีข้างหน้า ปักกิ่งได้แสดงจุดยืนชัดเจนว่าจะยังคงให้ความสำคัญกับ "เทคโนโลยีและการผลิต" เป็นวาระสำคัญอันดับต้นๆ แม้ว่าจะเคยให้คำมั่นว่าจะพยายามเพิ่มสัดส่วนการบริโภคในระบบเศรษฐกิจให้มากขึ้นก็ตาม ซึ่งในปีนี้ การส่งออกสุทธิยังมีส่วนช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของจีนถึงเกือบ 1 ใน 3 เลยทีเดียว
โดยสรุปแล้ว การเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนในไตรมาสที่ผ่านมาได้ชะลอตัวลงสู่ระดับต่ำที่สุดในรอบปี และนักวิเคราะห์มองว่าสถานการณ์ในไตรมาสนี้จะยิ่งชะลอตัวลงไปอีก จนอาจจะเป็นสถิติที่อ่อนแอที่สุดนับตั้งแต่ช่วง 3 เดือนสุดท้ายของปี 2022 ซึ่งเป็นช่วงที่จีนกำลังจะสิ้นสุดมาตรการ Covid Zero ค่ะ
นี่คือภาพความเป็นจริงที่นักลงทุนต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด เพราะความอ่อนแอของพญามังกรย่อมส่งแรงกระเพื่อมไปเอเชียอย่างแน่นอนค่ะ
สำหรับใครที่ลงทุนหุ้นจีนอยู่ ช่วงนี้คงต้องทำใจไปก่อนค่ะ เพราะตลาดอาจจะยังไม่ไปไหนจนกว่าเราจะเห็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหม่ออกมาค่ะ ซึ่งนิคกี้คาดว่าเราจะต้องรอไปถึงเดือนมีนาคมเลยทีเดียว เพราะจะมีการประชุมใหญ่ "Two Sessions" (เหลี่ยงฮุ่ย) ซึ่งไฮไลต์อยู่ที่การประกาศเป้า GDP และงบประมาณปีนี้ ว่ารัฐบาลจะยอมทุ่มหมดหน้าตักเพื่อแก้เกมเศรษฐกิจที่กำลังซึมลึกหรือไม่ค่ะ
ทีมาเนื้อหาจาก.. Beauty Investor