คัดหุ้นได้ประโยชน์ รัฐอุดหนุน
การผลิตแบตเตอรี่ 2.4 หมื่นล้านบาท

.
จากประเด็นคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (บอร์ดอีวี) เห็นชอบหลักการของมาตรการสนับสนุนการผลิตแบตเตอรี่ด้วยการให้เงินสนับสนุนวงเงิน 24,000 ล้านบาท สำหรับการผลิตแบตเตอรี่ระดับเซลล์ในประเทศไทย ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในการผลิตแบตแตอรี่ของรถยนต์ไฟฟ้า รวมทั้งสิทธิประโยชน์ด้านภาษีสรรพสามิตจาก 8% ลดเหลือ 1% ดังนั้นประเด็นดังกล่าว จะส่งผลดีต่อหุ้นตัวไหนกันบ้าง Wealthy Thai สรุปมาให้แล้ว
.
โดยมุมมองของนักวิเคราะห์บล.ธนชาต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า คณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (บอร์ด EV) เห็นชอบหลักการมาตรการสนับสนุนการผลิตแบตเตอรี่ในไทย เพื่อส่งเสริมให้เกิดฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าครบวงจรในประเทศ
.
1.การลดภาษีสรรพสามิตรแบตเตอรี่สำหรับยานยนต์ไฟฟ้าลงเหลือ 1% (จากเดิม 8%) 2.การให้เงินสนับสนุนรวมวงเงินทั้งสิ้น 2.4 หมื่นล้านบาท แก่โรงงานผลิตแบตเตอรี่สำหรับยานยนต์ไฟฟ้า โดยแบ่งเป็น การให้เงินสนับสนุน 400-600 บาทต่อ kWh สำหรับโรงงานผลิตที่มีกำลังการผลิตต่ำกว่า 8GWh ต่อปี และการให้เงินสนับสนุน 600-800 บาทต่อ kWh สำหรับโรงงานที่มีกำลังการผลิตเกิน 8GWh ต่อปี
.
ทั้งนี้การสนับสนุนดังกล่าวจะอยู่บนหลักการ “ผลิตก่อน ได้เงินอุดหนุนก่อน” โดยหากคำนวณจากวงเงินสนับสนุนแล้ว จะได้ว่าผู้ได้รับการสนับสนุนคือผู้ที่ผลิตแบตเตอรี่สำหรับ EV 40GWh แรกในไทย
.
ดังนั้นคาดว่านโยบายการสนับสนุนแก่โรงงานผลิตแบตเตอรี่นี้จะช่วยลดราคาขาย EV ในไทยลงได้ราว 4-8% ซึ่งน่าจะช่วยเร่งความต้องการซื้อ หรือเปลี่ยนรถยนต์เป็นระบบไฟฟ้าให้กับทั้งตลาดรถยนต์ส่วนบุคคล (PEV) และรถยนต์เชิงพาณิชย์ (CEV)
.
โดยมองว่า EA และ NEX เป็นสองบริษัทที่ได้ประโยชน์สูงสุดจากมาตรการสนับสนุนนี้ เพราะมีโรงงานผลิตแบตเตอรี่ (โดย EA กำลังการผลิต 1GWh ต่อปี) และโรงงานผลิตยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (ถือหุ้น 55% โดย EA และ 45% โดย NEX ที่มีกำลังการผลิต 9,000 คันต่อปี) ที่เริ่มดำเนินงานแล้ว จึงมีโอกาสคว้าสิทธิการสนับสนุนดังกล่าวได้ก่อนผู้เล่นรายอื่นที่ยังไม่ได้เริ่มการลงทุน
.
ส่วนการประเมินของนักวิเคราะห์บล.ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) มีความเห็นว่า มีมุมมองเป็นบวกต่อหุ้น EA, GPSC, WHA, NEX เนื่องจากมองว่ามาตรการสนับสนุนการลงทุนแบตอีวี ของกรมสรรพสามิต ที่มีการลดภาษีลดภาษีลงเหลือ 1% จากก่อนหน้านี้ที่ 8% รวมถึงการจ่ายเงินอุดหนุนผู้ผลิตแบตเตอรี่ 2.4 หมื่นล้านบาท จะทำให้ราคาแบตเตอรี่และรถอีวีลดลงได้ เป็นการสนับสนุน Ecosystem ของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า
.
ทั้งนี้ EA เป็นผู้ผลิตแบตเตอรี่รถยนต์รายใหญ่ที่สุดในประเทศไทยที่ขนาดกำลังการผลิต 1 GWh โดยประโยชน์จากมาตราการลดภาษีสรรพสามิตเหลือ 1% และเงินสนับสนุนจากมาตรการเดิมที่ 200 บาทต่อ kWh จะเป็น upside ต่อผลประกอบการของ EA ที่ราว 550 ล้านบาทต่อการผลิตแบตเตอรี่ 1 GWh หรือคิดเป็นราว 6% ต่อประมาณการปี 66 ที่ 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งบริษัทมีแผนจะขยายเป็น 2 GWh ภายในปี 66 และขยายสู่ 4 GWh ภายในปี 67
.
ส่วน GPSC มีกำลังการผลิตแบตเตอรี่ปัจจุบันที่ 30 MWh โดยมีแผนที่ขยายกำลังการผลิตเป็น 1 GWh ภายใน 66 ด้าน WHA มองว่าจะเป็น sentiment เชิงบวกต่อการเข้ามาก่อตั้งโรงงานผลิตรถอีวี ถ้าหากต้นทุนการผลิตและราคาแบตเตอรี่ในประเทศไทยลดลง ส่งผลบวกต่อยอดขาย และยอดส่งมอบ ปี 66 ที่จะเพิ่มขึ้นสูงมากกว่าคาด โดยปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการเจรจากับลูกค้ากลุ่ม EV และ supply chain จำนวน 800-900 ไร่ที่คาดว่าจะเห็นความชัดเจนในครึ่งแรกปี 66
.
ดังนั้นทั้งนี้ EA ให้แนะนำ “ถือ” ราคาเป้าหมาย 90.00 บาท ส่วน GPSC ให้คำแนะนำ “`ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 85.00 บาทขณะที่ WHA ให้คำแนะนำ “`ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 4.60 บาท
.
นอกจากนั้นยังมองเป็นบวกต่อ NEX จากมาตรการสนับสนุนให้ราคาแบตเตอรี่ลดลง จะส่งผลบวกให้แนวโน้มราคาขายรถ E-Bus และ E-Truck ลดลงด้วย ทำให้โอกาสในการขายน่าสนใจมากขึ้น ทั้งนี้ NEX ยังแนะนา ซื้อ ราคาเป้าหมาย 24.00 บาท
.
และสุดท้ายนักวิเคราะห์บล.โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) มีความเห็นว่า คณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (บอร์ดอีวี) เห็นชอบหลักการของมาตรการสนับสนุนการผลิตแบตเตอรี่ด้วยการให้เงินสนับสนุนวงเงิน 24,000 ล้านบาท สำหรับการผลิตแบตเตอรี่ระดับเซลล์ในประเทศไทย ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในการผลิตแบตแตอรี่ของรถยนต์ไฟฟ้า รวมทั้งสิทธิประโยชน์ด้านภาษีสรรพสามิตจาก 8% ลดเหลือ 1% บวกการสร้างแรงจูงใจจากผู้ผลิตแบตเตอรี่ระดับโลก บวกกลุ่มนิคม (AMATA, WHA, ROJNA) และการเปลี่ยนไปใช้รถยนต์ EV เร็วขึ้น บวกกลุ่ม EV Ecosystem (EA, GPSC, FORTH, FSMART)