เปิดแนวโน้ม SET- หุ้นเด่น ก.พ.66 ยังบวกต่อ ลุ้น 1,730 จุด
ผู้สื่อข่าว "สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย" รายงานว่า นักวิเคราะห์ประเมินตลาดหุ้นไทยในเดือน ก.พ.66 ส่วนใหญ่ยังมองทิศทางในเชิงบวก โดยหลังดอกเบี้ยทั่วโลกเริ่มชะลอความร้อนแรง ส่วนในประเทศรับปัจจัยบวกการเปิดประเทศของจีน หนุนท่องเที่ยวคึกคัก มองกรอบ 1,630 - 1,730 จุด

.
*** บล.โนมูระ พัฒนสิน มองหุ้นไทยก.พ.เป็นบวก รับภาคท่องเที่ยวฟื้น
นายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)โนมูระ พัฒนสิน เปิดเผยว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยในช่วงเดือนก.พ.66 คาดว่าดัชนีฯ น่าจะตอบรับเชิงบวก เนื่องจากมีปัจจัยหนุนจากนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ที่เริ่มทรงตัวในระดับที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ประกอบกับการทยอยประกาศงบของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ที่น่าจะออกมาเป็นบวก
.
นอกจากนี้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งเบื้องต้นคาดว่าในช่วงเดือนม.ค.ที่ผ่านมาน่าจะผ่านจุดต่ำสุดของปีนี้แล้วและอาจทำให้นักวิเคราะห์มีการปรับประมาณการของหุ้นในกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากภาคการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
.
ขณะที่การเคลื่อนไหวของดัชนีหุ้นไทยในช่วงเดือนก.พ.นี้ ประเมินแนวรับอยู่ที่บริเวณ 1,650-1,668 จุด และแนวต้านที่ระดับ 1,700-1,720 จุด
.
ส่วนกลยุทธ์การลงทุนนั้น แนะนำนักลงทุนถือหุ้นในพอร์ตสัดส่วนราว 70% พร้อมเน้นเข้าซื้อช่วงที่ตลาดย่อตัวลงมา ส่วนหุ้น Top Pick ที่แนะนำในช่วงเดือนก.พ. มีจำนวน 7 บริษัท ได้แก่ GULF,CRC,AAV,BE8,SCGP, SAPPE และAP
.
*** บล. ทรีนีตี้ มองแนวต้านสูงสุด 1,730 จุด
นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. ทรีนีตี้ จำกัด เปิดเผยว่า ทิศทางการลงทุนเดือนก.พ. ว่า คาดตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวในกรอบ 1,630-1,730 จุด โดยบรรยากาศการลงทุนโดยรวมทั่วโลกน่าจะเคลื่อนไหวไปกับทิศทางของเงินดอลลาร์ต่อไป
.
โดยระหว่างเดือน ต้องติดตามตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ ทั้งตัวเลขการจ้างงานและรายงานเงินเฟ้อ ซึ่งจะส่งผลต่อมายังคาดการณ์ดอกเบี้ย Fed ในอนาคต โดย ณ ปัจจุบันนักลงทุนส่วนใหญ่ยังคงมอง Terminal rate ของ Fed ที่ระดับ 4.75-5.00% หรือ Imply การขึ้นดอกเบี้ยในรอบนี้และรอบเดือนมีนาคม ครั้งละ 0.25% เท่านั้น
.
ด้านกลยุทธ์ กำหนดแนวรับเดือนนี้ที่ระดับ 1,630 จุด ส่วนแนวต้านสำหรับการ Take profit ให้ไว้ 2 แนวได้แก่ 1,700 และ 1,730 จุด หากดัชนีไปถึงระดับ 1,700 จุด ให้ใช้บริเวณดังกล่าวในการลดน้ำหนักการลงทุนครึ่งหนึ่ง และถือลุ้นในส่วนที่เหลือไปขายทำกำไรที่บริเวณ 1,730 จุด
.
สำหรับ หุ้นที่น่าสนใจประจำเดือนนี้ ได้แก่ 1. DTAC โดยแนะนำซื้อบนธีมการควบรวมกับ TRUE และถือรอ Convert เป็นหุ้นใหม่ คาดการณ์ว่าภายหลังจากการควบรวมเสร็จสิ้น จะทำให้บริษัทใหม่มี Synergy เกิดขึ้น ทั้งฐานลูกค้าที่กว้างขึ้น การลดต้นทุนค่าใช้จ่ายต่างๆ และความร่วมมือในการใช้เครือข่ายร่วมกัน
.
2. หุ้นกลุ่ม Property ได้แก่ SPALI, WHA 3. หุ้นที่มักมี Track record ในเดือนก.พ.ของทุกๆปีอยู่ในเกณฑ์ดี และ Valuation อยู่ในระดับที่น่าสนใจ ได้แก่ AMATA, GLOBAL, INTUCH, JMT
.
4.หุ้นในกลุ่มบริการที่ได้ประโยชน์จาก Mobility ที่สูงขึ้นต่อเนื่อง และราคาอยู่ในช่วงพักตัว ได้แก่ M, VRANDA 5. หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าที่ราคาปรับลงมารับผลประกอบการไตรมาส 4/65 ที่อ่อนแอไปแล้ว และกำไรมีแนวโน้ม Bottom out ต่อจากนี้ ได้แก่ GPSC
.
*** บล.ทิสโก้ ชี้สถิติเดือนก.พ.หุ้นผลตอบแทนดี
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ จำกัด กล่าวว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยในเดือนก.พ. มองว่า ยังดีต่อเนื่อง และยังมีโอกาสที่จะทะลุ 1,700 จุดได้ สำหรับหุ้นในเดือน ก.พ. ประเมินแนวรับที่ 1,660-1,670 จุด ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 1,700 จุด ซึ่งหากผ่านแนวต้านแรกได้ ระยะถัดไปมองที่ 1,720 จุด
.
โดยได้รับปัจจัยหนุนจากการเลือกตั้ง และแรงซื้อจากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) รวมถึงผลตอบแทนจากเงินปันผล ซึ่งหากดูสถิติย้อนหลังจะพบว่า หุ้นในเดือนก.พ.มักจะเป็นหุ้นให้ผลตอบแทนดี รวมถึงตลาดมักจะปรับตัวขึ้นด้วย
.
ส่วนปัจจัยที่ยังต้องติดตาม คือ ตัวเลขเศรษฐกิจของไทย โดยเฉพาะภาพของการส่งออกเป็นสำคัญ ที่ยังต้องติดตาม ขณะที่การประกาศตัวเลขอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ในเดือนนี้ มองว่า มีโอกาสที่จะปรับตัวลดลงได้ แต่อาจไม่ได้กระทบต่อตลาดมากนัก แต่จะเป็นการจำกัดอัพไซต์ของตลาดมากกว่า
.
สำหรับกลยุทธ์ในการลงทุนยังเป็นหุ้นที่ผลประกอบการออกมาดี และปันผลดี เช่น AP , BBL , PRM , MAKRO , GLOBAL เป็นต้น
.
*** บล.ฟิลลิป มองหุ้นสดใสรับเลือกตั้ง
นางสาวธีรดา ชาญยิ่งยงค์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) เปิดเผยกับ "สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย" ว่าภาพรวมตลาดหุ้นไทยเดือนก.พ. มีโอกาสฟื้นตัวได้ดีตอบรับการคาดหวังเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว ทั้งเรื่องการเปิดประเทศของจีนหนุนการท่องเที่ยวที่เป็นรายได้สำคัญในประเทศ รวมถึงการเลือกตั้งในประเทศซึ่งตลาดมีความหวังมากขึ้นว่าจะเกิดในปีนี้
.
โดยหุ้นที่น่าสนใจยังแนะนำอิงการเปิดเมือง ทั้ง CENTEL , CPALL , BA ซึ่งจะช่วยหนุนภาคการบริโภคฟื้น แนะ SIRI , ILM ธีมรถไฟฟ้า AH , HANA และปิโตรเคมี PTTGC เพราะมองว่าราคาผ่านจุดต่ำสุดแล้ว ประเมินกรอบการเคลื่อนไหว ให้แนวต้าน 1,700 จุด และ 1,720 จุด ส่วนแนวรับ 1,660 จุด
.
*** บล.ยูโอบี เคย์เฮียน คาดงบ Q4/65 อาจกดดันช่วงสั้น
นายกิจพล ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์และนักกลยุทธ์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) เปิดเผยกับ "สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย" ว่า การเคลื่อนไหวหุ้นในเดือนก.พ.นี้ ตลาดหุ้นไทยยังมีโอกาสผันผวน จากการประกาศผลประกอบการ ซึ่งหุ้นในบางกลุ่มอาจประกาศออกมาไม่ดี จากหุ้นที่ได้รับผลกระทบจากการปิดเมืองของจีน
.
อย่างไรก็ตามกรอบการแกว่งตัวลงยังจำกัด เนื่องจากแนวโน้มเศรษฐกิจในช่วง 1 ปีข้างหน้ามีทิศทางที่ดีขึ้น อ้างอิงจากการรายงานกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF)เดือนม.ค. มีสัญญาณเชิงบวกหลายอย่าง เช่น การมองเศรษฐกิจปี 66 มองเศรษฐกิจโลกต่ำสุดในปี 66 ก่อนจะเริ่มฟื้นตัวขึ้นในปี 67 รวมถึงการปรับคาดการณ์ตัวเลขเศรษฐกิจโลกปีนี้ขึ้น เป็น 2.9% จากเดิมคาด 2.7% รวมถึงภาพรวมเศรษฐกิจในยุโรปที่การถดถอยไม่ลึกตามคาด ด้านเศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัวแต่ไม่เกิดการถดถอย และกรณีจีนเปิดประเทศเร็วกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้เป็นต้น โดยประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีฯ ที่ 1,670 จุด แนวต้าน 1,700 ถึง 1,720 จุด
.
"รายงานของ IMFเป็นปัจจัยช่วยจำกัดดาวน์ไซด์ให้ตลาด แม้ว่าผลประกอบการบางตัวออกมาไม่ดี หรือไม่เป็นไปตามคาด แต่ภาพรวมไม่มีสัญญาณลบใหม่เข้ามา ด้านสหรัฐฯ เข้าสู่การขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงโค้งสุดท้ายแล้ว น่าจะทำให้ตลาดมั่นใจและสถานการณ์ทางการเงินผ่อนคลายมากขึ้น ดังนั้นจังหวะตลาดย่อตัวคงไม่ลึกมาก " นายกิจพลกล่าว
.
โดยหุ้นที่แนะนำให้ลงทุนแนะนำยังมองกลุ่มที่ได้รับประโยชน์ต่อเนื่องจากการเปิดเมือง ซึ่งหุ้นกลุ่มท่องเที่ยวโดยตรงอาจได้รับปัจจัยบวกและเก็งกำไรกันก่อนแล้ว จึงแนะนำหุ้นที่ได้รับอานิสงส์เปิดเมืองในกลุ่มถัดไป เช่น ค้าปลีก MAKRO , CPALL , BJC , MAJOR ,VRANDA, SPA , S แนะนำกลุ่มปิโตรเคมีหลังจากผลงานในช่วงไตรมาส 4/65 ที่ชะลอตัวจากผลกระทบการปิดเมืองของจีน ซึ่งปีนี้คาดว่าผลงานจะกลับมาฟื้นได้ตามสถานการณ์จีนเปิดเมือง แนะนำ PTTGC รวมถึงกลุ่มไฟแนนซ์ เนื่องจากกลุ่มลูกค้ามีโอกาสชำระหนี้ได้มากขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว ทั้ SAWAD ,MTC , TIDLOR และ AMANAH
***********************************