'เจมาร์ท' กางเป้า 5 ปีพอร์ตสินเชื่อ 'หมื่นล้าน'
"กลุ่มเจมาร์ท" จับมือพันธมิตรเกาหลีใต้รุกธุรกิจสินเชื่อบุคคล-บัตรเครดิต ตั้งเป้า 5 ปี พอร์ตแตะ 1 หมื่นล้านบาท จากปัจจุบันอยู่ที่ 2.7-2.8 พันล้านบาท ด้าน "อดิศักดิ์" มั่นใจกำไรปีนี้โตตามเป้า 25% จากปีก่อน 533.85 ล้านบาท ทำนิวไฮต่อเนื่อง
นายอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจมาร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ JMART เปิดเผยว่า ภายหลังจาก KB Kookmin Card Co., Ltd บริษัทผู้ให้บริการบัตรเครดิตการ์ด และสินเชื่อส่วนบุคคลรายใหญ่ของเกาหลีใต้ เข้ามาร่วมทุนถือหุ้น 49.99% ใน บริษัท เจ ฟินเทค จำกัด (J Fintech) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ JMART เพื่อขยายธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคล สินเชื่อบัตรเครดิตในประเทศไทยเนื่องจากประเมินว่ามีศักยภาพการเติบโตที่ดี ซึ่งทาง KB Kookmin จะเข้ามาสนับสนุนเรื่องเทคโนโลยี และแหล่งเงินทุนในการปล่อยสินเชื่อ ทำให้ “เจฟินเทค”ที่มีต้นทุนทางการเงินการปล่อยสินเชื่อต่ำลง 1-2% จากเดิมที่มีต้นทุนทางการเงินที่4.5% ทำให้สามารถแข่งขันได้ในอุตสาหกรรม
ทั้งนี้“เจฟินเทค”ตั้งเป้าภายใน5 ปี พอร์ตสินเชื่ออยู่ที่ 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 2.7-2.8 พันล้านบาท โดยส่วนใหญ่เป็นสินเชื่อส่วนบุคคล และสินเชื่อจำนำทะเบียนรถยนต์ ซึ่งภายหลังจากร่วมทุนแล้วช่วงแรกยังคงเน้นเรื่องการให้สินเชื่อส่วนบุคคล และมีแผนให้สินเชื่อแก่บริษัท และนักธุรกิจเกาหลีใต้ที่มาทำธุรกิจในประเทศไทย ด้วย ส่วนอีก 2 ปีข้างหน้าจะเริ่มให้สินเชื่อบัตรเครดิตต่อไป นอกจากนี้บริษัทตั้งเป้าภายใน10 ปีข้างหน้า “เจฟินเทค”จะเป็นผู้นำ 1 ใน 5 ของธุรกิจสินเชื่อ และบัตรเครดิตในประเทศไทย โดยคาดว่า แผนการเข้าร่วมลงทุนดังกล่าวจะแล้วเสร็จภายในเดือนมิ.ย.
นายอดิศักดิ์ กล่าวว่า ปีนี้บริษัทยังคงมั่นใจว่ากำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 25% จากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 533 .85 ล้านบาท ซึ่งทำสถิติสูงสุดใหม่(นิวไฮ) แม้ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือโควิด-19 ระบาด กระทบยอดขายธุรกิจมือถือลดลง แต่ธุรกิจอื่น เช่นธุรกิจบริหารหนี้ของ บมจ. เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส(JMT) และ ธุรกิจของบมจ.ซิงเกอร์ประเทศไทย (SINGER) เติบโตดี ประกอบกับบริษัทมีการบริหารจัดการต้นทุนที่ดี
รวมถึงกรณีที่บริษัทสละสิทธิจองซื้อหุ้นเพิ่มทุน “เจ ฟินเทค”นั้นทำให้บริษัทจะได้เงินกู้คืนจาก"เจ ฟินเทค” ประมาณ 2,700 ล้านบาท ซึ่งเงินดังกล่าวบริษัทจะนำไปชำระคืนหุ้นกู้เดิมที่ครบกำหนดจำนวน590 ล้านบาทในไตรมาส4ปี 2563ทำให้ต้นทุนทางการเงินของบริษัทลดลงเหลือ2 % จากปัจจุบันอยู่ที่ 2.4% ส่วนที่เหลือบริษัทมีแผนที่จะนำไปลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องต่อไป
สำหรับJMT ปีนี้ตั้งงบซื้อหนี้จำนวน 4.5-5 พันล้านบาท ซึ่งไตรมาส1 ปีนี้ ใช้เงินซื้อไปแล้ว 1 พันล้านบาท โดยเป็นทั้งหนี้ที่มีหลักทรัพย์และไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน และเชื่อว่าในช่วงไตรมาส2 และไตรมาส3 ปีนี้ จะมีหนี้ออกมาประมูลเพิ่มขึ้น เนื่องจากโควิด-19 ระบาดทำให้มีหนี้เสียเพิ่มขึ้น และคาดกำไรปีนี้เติบโต 30%จากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 681.36 ล้านบาท
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก