จากบทความก่อนหน้านี้ https://www.facebook.com/Stock2morrowFB/posts/1307258942651545
เพื่อนๆ เริ่มเข้าใจการลงทุนที่เกี่ยวกับ Investment Holding Company หรือ IHC ที่มีในประเทศไทยแล้วในเบื้องต้นแล้ว ไม่ว่าจะเป็น INTUCH, TISCO, SPI และ CGH
สำหรับในต่างประเทศ หากพูดถึง Holding Company บริษัทในระดับโลกชื่อว่า บริษัท เบิร์กเชียร์ ฮาธาเวย์ (Berkshire Hathaway) ซึ่งเป็นรูปแบบของบริษัทโฮลดิ้ง และเน้นการถือหุ้นในบริษัทกลุ่มอุตสาหกรรมที่หลากหลายต่างๆ ทั่วโลก ซึ่งทำให้ประสบความสำเร็จได้อย่างมากมาย ในขณะที่กองทุนรวมขนาดใหญ่หลายแห่งในระยะยาวผลตอบแทนสู้ไม่ได้เลย
หลักการเลือกบริษัทเพื่อเข้าไปลงทุน ง่ายๆ สั้นๆ ดังนี้
- ซื้อบริษัทชั้นเลิศในราคาธรรมดา ดีกว่าซื้อบริษัทธรรมดาในราคาหรูเริ่ด
- เลือกธุรกิจเติบโต มีโอกาสในการทำกำไรสูง
- บริษัทไม่มีหนี้มากเกินไป
- ธุรกิจได้เปรียบคู่แข่ง
บริษัทในไทยที่มีรูปแบบในลักษณะ IHC บ้างหรือไม่?
สำหรับในส่วนของ Investment Holding Company ในประเทศไทยเริ่มที่จะมีบางบริษัทที่ปรับโครงสร้างเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเป็น IHC เช่น INTUCH, TISCO, SPI และ CGH โดยบริษัทที่น่าจับตามองนาทีนี้ คือ บริษัท คันทรี่ กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ CGH ที่เน้นการเข้าไปลงทุนในธุรกิจที่หลากหลายทั้งในประเทศและต่างประเทศ ด้วยแนวคิดในการลงทุนที่เปิดกว้างเพื่อเปิดรับทุกโอกาสในการลงทุนไม่ว่าจะเป็นการลงทุนแบบเดิมหรือในแบบใหม่ๆ โดยมีทีมสนับสนุนที่เป็นผู้เชี่ยวชาญการลงทุนแบบมืออาชีพที่ได้มาตรฐานระดับโลกที่ช่วยสร้างผลตอบแทนที่ต่อเนื่องและสม่ำเสมอและมีสภาพคล่องและศักยภาพสูงในการลงทุน เพื่อมุ่งเน้นผลตอบแทนที่ดีแก่นักลงทุนที่ไม่ต่ำกว่า 15% ดั่งสโลแกน “New Edge of Investment”
CGH มีรายได้จากการถือหุ้นบริษัทอื่นเป็นหลัก จัดหาเงินทุนเพื่อดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ และบริษัทในกลุ่ม และลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ ทั้งในและต่างประเทศ ทั้งที่เกี่ยวข้องและไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจเดิม เพื่อเพิ่มมูลค่าให้แก่บริษัทฯ และให้การสนับสนุนด้านอื่นๆ แก่บริษัทในกลุ่ม เช่น
ลงทุนในบริษัทหลักทรัพย์คันทรี่ กรุ๊ป (CGS), บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็มเอฟซี (MFC), บริษัท ผาแดงอินดัสทรี (PDI), และ บริษัท คันทรี่ กรุ๊ป ดีเวลลอปเมนต์ จำกัด (มหาชน) (CGD)
โดยผลงานโดดเด่นที่ CGH ที่เข้าไปถือหุ้นและปรับโครงสร้าง ดังนี้
บริษัทหลักทรัพย์คันทรี่ กรุ๊ป : CGS ภายหลังจาก CGH เข้าถือหุ้นเกือบ 99.3% ได้มีการปรับเปลี่ยนโครงสร้าง ทำให้มีกำไรสุทธิ 205.08 ลบ. โดยเพิ่มขึ้น 164.94 ลบ. หรือ 410.91% เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันถึงปีก่อน (Q3/2559) ทำให้บริษัทสามารถลดต้นทุนค่าใช้จ่ายและบริหาร (SG&A) ลงได้เป็นอย่างดี และมีผลิตภัณฑ์ที่ทำกำไรได้มากขึ้น
บริษัท ผาแดงอินดัสทรี : PDI โดย CGH เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในสัดส่วน 24.9% และได้ตัดสินใจปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ธุรกิจครั้งสำคัญ โดยพึ่งพิงรายได้เพิ่มขึ้นจากธุรกิจใหม่จากเดิมที่มีรายได้หลักมาจากธุรกิจสังกะสี และเปลี่ยนไปพัฒนาธุรกิจใหม่ด้านอื่นๆ เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน ทั้งจากธุรกิจพีดีไอ เอ็นเนอร์ยี พีดีไอ แมททีเรียล และพีดีไอ อีโค ทำให้มีกำไรสุทธิ 221.45 ลบ. เพิ่มขึ้น 384.52% เทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ที่ขาดทุน 75.13 ลบ.
บริษัทหลักทรัพย์ จัดการกองทุน เอ็มเอฟซี : MFC โดย CGH เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในสัดส่วน 24.3 % มีรางวัลโดดเด่นและได้รับรางวัลต่างๆ เช่น กองทุน I-DEVELOP ที่ได้รับรางวัล “กองทุนดีเด่นประจำปี 2559” และมีกำไรสุทธิ 51.23 ลบ.
บริษัท คันทรี่ กรุ๊ป ดิเวลลอปเม้น : CGD ถือหุ้นอยู่ 9.35% โดยไตรมาสที่ผ่านมา CGD มีการดำเนินงานที่สำคัญหลายโครงการ เช่น การร่วมทุน E3 Investment ซึ่งเป็นผู้บริการอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำระดับโลก โครงการ Four Seasons Residences ริมแม่น้ำเจ้าพระยา และยังมีศูนย์การศึกษาในประเทศอังกฤษ
โดย CGH มีแผนกลยุทธ์ 5 ด้าน ดังนี้ Mission : 5 Key strategic strengths
- ครอบคลุมธุรกิจหลากหลายประเภท
- เครือข่ายกว้างขวาง
- การผนึกโครงสร้างพื้นฐานร่วมกัน
- มูลค่าสูงสุด
- แนวทางการลงทุนแบบเชิงรุก
จะเห็นได้ว่าในประเทศไทยก็ยังมีธุรกิจ Holding Company ที่น่าสนใจตามที่ได้กล่าวในเบื้องต้น และด้วยความที่มีธุรกิจหลักคือการลงทุนในบริษัทอื่นๆ ในฐานะผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ก็ต้องเน้นที่วิสัยทัศน์ในการพัฒนาต่อยอดบริษัทในกลุ่มให้เติบโตอย่างต่อเนื่องและมั่นคงและเพื่อผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้น ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีสำหรับผู้ที่คิดอยากจะลงทุนในหุ้นของหลายๆ กลุ่มอุตสาหกรรมในบ้านเรา ถือว่า “ยิงกระสุนนัดเดียวได้นกหลายตัว”
“ครั้งหน้าเราจะลองมาดูว่าการที่ Investment Company อย่าง CGH เข้าไปถือหุ้นบริษัท ผาแดงอินดัสทรี หรือ PDI ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญอะไรขึ้นบ้าง”