ห้องเม่าปีกเหล็ก

“วิกรม” ชี้ ให้ต่างชาติซื้อที่ดิน ไทย “ได้” มากกว่า “เสีย”

โดย riter
เผยแพร่ :
160 views

การให้สิทธิ์ต่างชาติซื้อที่ดินในไทยได้ ยังคงเป็นประเด็นที่น่าสนใจในตอนนี้ผ่านหลากหลายมุมมอง ล่าสุด คุณวิกรม กรมดิษฐ์ เจ้าของนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร ได้แสดงความเห็นผ่านบทความในกรุงเทพธุรกิจ โดยมองเห็นประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นกับประเทศชาติหลายด้าน เพียงแต่ภาครัฐต้องกำหนดเงื่อนไขที่รอบคอบรัดกุม บนพื้นฐานที่จะไม่ส่งผลกระทบกับภาคประชาชนระดับรากหญ้าและระดับกลางในอนาคต โดยเฉพาะกลุ่มคนที่ปัจจุบันยังไม่มีกำลังในการซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาคนไทยไม่มีที่อยู่อาศัย

 

 

คุณวิกรมยกตัวอย่างว่า ปัจจุบันไทยมีกฎหมายอนุญาตให้ต่างชาติสามารถซื้อคอนโดมิเนียมเพื่อการอยู่อาศัยได้ โดยมีการกำหนดสัดส่วนเปอร์เซ็นต์ที่สามารถซื้อได้ และยังไม่เคยมีประเด็นปัญหาเกิดขึ้น นอกจากนี้ยังมีอนุญาตให้ต่างชาติเข้ามาซื้อที่ดินในการนิคมอุตสาหกรรมทั่วประเทศเพื่อการลงทุนได้ ซึ่งทำมากว่า 40 ถึง 50 ปีแล้ว ก็ยังไม่เคยเกิดผลกระทบใด ๆ 

 

ขณะที่ประเทศอื่น ๆ ทั่วโลกได้เปิดโอกาสให้ต่างชาติเข้าไปลงทุนซื้อที่ดินเพื่ออยู่อาศัยได้ เช่น อเมริกา ออสเตรเลีย แคนาดา สิงคโปร์ ที่ล้วนเป็นประเทศร่ำรวย ประชากรส่วนใหญ่ค่อนข้างมีฐานะดี รัฐบาลจึงไม่มีความกังวลในเรื่องประชากรในประเทศจะไม่มีที่อยู่อาศัย

 

แต่ประเทศไทยนั้น ประชากรไม่ได้ร่ำรวย จึงมีความกังวลว่าจะไม่มีที่อยู่อาศัยเกิดขึ้น ซึ่งปัญหานี้สามารถแก้ไขได้ โดยรัฐบาลต้องพิจารณาและวิเคราะห์อย่างรอบคอบ เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อประชาชนในระดับรากหญ้าและระดับกลางในอนาคต ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีกำลังในการซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง ด้วยการเพิ่มข้อกำหนดเกี่ยวกับโซน จำนวนหรือขนาดของพื้นที่ เช่น ให้ต่างชาติมีสิทธิ์ซื้อที่ดินได้เฉพาะภายในหมู่บ้านจัดสรรเท่านั้น เพื่อใช้หมู่บ้านเป็นตัวกำหนดขอบเขตพื้นที่สำหรับชาวต่างชาติ แล้ววางระบบให้ถูกต้อง ค่อยๆ เริ่มจากพื้นที่เล็กๆ ก่อนจะขยายไปพื้นที่อื่นๆ 

 

“รูปแบบของการให้ต่างชาติมีสิทธิ์ในการซื้อที่ดินโดยเฉพาะในหมู่บ้านจัดสรรต้องมีมาตรฐานและถูกต้อง โดยกำหนดเปอร์เซ็นต์สัดส่วนในการซื้อที่ชัดเจน เช่นเดียวกับรูปแบบของการอนุญาตให้ซื้อคอนโด ซึ่งหากทำได้ผมเชื่อว่าธุรกิจของบ้านจัดสรรของไทยจะเติบโตเพิ่มมากขึ้น” 

 

นอกจากนี้ เมื่อมีการลงทุนจากชาวต่างชาติ จะทำให้เกิดระบบการหมุนเวียนทางด้านเศรษฐกิจการเงินขึ้นภายในประเทศ ซึ่งเงินเหล่านี้เปรียบเสมือนการได้ฟรี ที่รัฐบาลไทยไม่ต้องไปกู้ยืมจากประเทศอื่นๆ เพราะเป็นเงินที่ชาวต่างชาตินำเข้ามาซื้อบ้าน ซื้อที่ดิน เท่ากับว่าเม็ดเงินตรงนี้เจ้าของที่ดินในหมู่บ้านจัดสรร เจ้าของโครงการหมู่บ้านจัดสรร บริษัทวัสดุก่อสร้าง รวมถึงแรงงาน ล้วนแต่ได้ประโยชน์ และยังก่อให้เกิดการซื้อขายสินค้าสาธารณูปโภคต่างๆ ที่อยู่ในพื้นที่โดยรอบก็ได้ประโยชน์ตามมาอีกด้วย 

 

คุณวิกรมยกตัวอย่างประเทศจีนที่เคยทดลองใช้รูปแบบนี้ กับมืองเศรษฐกิจอย่างเซินเจิ้น โดยตั้งเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ และแต่งตั้งคณะกรรมการเข้าไปกำกับดูแล มีการประเมนผลงานดูการเติบโต 3-5 ปี เมื่อพบว่าประสบความสำเร็จ มีเศรษฐกิจที่เติบโตขึ้น ก็เปิดโอกาสขยายพื้นที่ไปยังพื้นที่ติดทะเล และขยายเข้าสู่แผ่นดินใหญ่ของจีนต่อไป

 

“ผมยังมองว่า หากมีการกำหนดมาตรการที่ชัดเจน มีการทดสอบ ตั้งกฎเกณฑ์ให้รัดกุมและก่อเกิดความยั่งยืนต่อการลงทุน น่าจะทดลองจากกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นเมืองเศรษฐกิจที่มีพื้นที่ประมาณ 1,600 ตารางกิโลเมตร ถือว่าใหญ่กว่าประเทศสิงคโปร์ถึง 2 เท่า หรืออาจจะทดลองที่พัทยา ภูเก็ต หรือเชียงใหม่ เน้นเมืองที่เป็นพื้นที่เศรษฐกิจหลักๆ ของประเทศก่อน แล้วติดตามดูผลภายในระยะเวลา 3-5 ปีว่าเป็นอย่างไร หากมีความเติบโตทางด้านเศรษฐกิจหรือประสบความสำเร็จ ค่อยขยายไปพื้นที่อื่นๆ โดยยึดโมเดลรูปแบบจากเมืองเซินเจิ้นของจีน ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับรายละเอียดที่เราจะเป็นผู้กำหนด”

 

เจ้าของนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร มองว่า หากมีการกำหนดขอบเขตในการให้สิทธิ์แก่ชาวต่างชาติซื้อพื้นที่ของประเทศไทยที่ชัดเจนได้แล้ว เชื่อว่าประเทศไทยน่าจะได้ประโยชน์มากกว่าเสียประโยชน์

 

ประเทศไทยมีพื้นที่อยู่ทั้งหมดประมาณ 330 ล้านไร่ แบ่งเป็นพื้นที่ทำการเกษตรประมาณ 130 ล้านไร่ เรายังเหลือพื้นที่อยู่อีกเกือบประมาณ 200 ล้านไร่ ที่เป็นภูเขาและเป็นพื้นที่ที่ยังไม่ได้มีการใช้ประโยชน์ ทำไมไม่ใช้จุดเด่นของประเทศไทยให้เป็นประโยชน์เช่นเดียวกับที่ประเทศสิงคโปร์ นำมาก่อให้เกิดประโยชน์หรือสร้างรายได้ จากการให้ชาวต่างชาติเข้ามาลงทุนได้ ภายใต้เงื่อนไขที่ต้องไม่ทำให้คนในระดับรากหญ้าหรือผู้ที่มีรายได้น้อยได้รับผลกระทบ”

 

หรืออาจพิจารณาปรับเปลี่ยนไปใช้หลักการ “เซ้ง” หรือ “ให้เช่าระยะยาว” ในโซนพื้นที่ที่กำหนด เช่น พื้นที่ในหมู่บ้านจัดสร โดยกำหนดระยะเวลาการเซ้ง เช่น 99 ปี และสามารถให้ต่อสัญญาได้ เป็นต้น ซึ่งหลักการนี้หลายประเทศก็ทำ เช่น จีน เวียดนาม ลาว พม่า แต่กำหนดระยะเวลาในการเซ้งแตกต่างกันไประหว่าง 50-90 ปี 

 

ประเทศไทยน่าจะนำรูปแบบนโยบายเกี่ยวกับด้านการส่งเสริมการลงทุนเช่นนี้ มาเป็นกรณีศึกษาได้ เช่น ประเทศสิงคโปร์ที่มีเรื่องของความโปร่งใส ความน่าลงทุน และผลประโยชน์ที่ประเทศสิงคโปร์ได้จากการเปิดรับนักลงทุนเข้าไปภายในประเทศ หรือประเทศอินโดนีเซียให้ลงทุนต่างชาติซื้ออสังหาริมทรัพย์ ทำให้มูลค่าทรัพย์สินมีราคาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่สิงคโปร์มีโครงการบ้านของการเคหที่รัฐบาลดูแลอยู่และเป็นโครงการที่มีความเข้มแข็งทำให้คนระดับรากหญ้ามีที่อยู่อาศัย

 


riter