ห้องเม่าปีกเหล็ก

‘นอนดึก’ยิ่งอ้วน ฮอร์โมนอิ่มหนี-ฮอร์โมนหิวอาละวาด เสี่ยงหยุดหายใจขณะหลับ

โดย CARE
เผยแพร่ :
71 views

‘นอนดึก’ยิ่งอ้วน ฮอร์โมนอิ่มหนี-ฮอร์โมนหิวอาละวาด เสี่ยงหยุดหายใจขณะหลับ

 

  • 4 มีนาคมของทุกปี เป็นวันอ้วนโลก สถานการณ์ในเด็กและคนไทยน่ากังวล นโยบายควบคุมการตลาดอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพเด็ก มีความคุ้มค่าคุ้มทุน  ใช้งบฯราว 1.13 ล้านบาท ลดภาวะเริ่มอ้วนและโรคอ้วนในเด็ก อายุ 6-12 ปีได้ถึง 121,000 คน
  • การนอนดึก ส่งผลต่อฮอร์โมนที่จะทำให้อ้วนได้ง่ายขึ้น คือ ฮอร์โมนความเครียด ฮอร์โมนความหิว และฮอร์โมนความอ้วน
  • คนที่ป่วยเป็นโรคอ้วน เมื่อนอนหลับกล้ามเนื้อจะเกิดการคลายตัว การทำงานชดเชยของกล้ามเนื้อขยายช่องคอทำได้ไม่เพียงพอ ทำให้ทางเดินหายใจส่วนบนตีบแคบขณะหลับ เกิดโรคหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น

 

 

วันที่ 4 มีนาคมของทุกปี เป็นวันอ้วนโลก (World Obesity Day) ปีนี้รณรงค์ภายใต้แนวคิด “Changing systems Healthier lives” ระบบดี สุขภาพดี โดยมุ่งเน้นให้ทุกภาคส่วนรวมถึงประชาชน ร่วมกันปรับเปลี่ยนระบบสุขภาพและสภาพแวดล้อมให้เอื้อต่อการป้องกันและจัดการโรคอ้วน 

โรคอ้วนเป็นปัญหาสำคัญ ซึ่งประเทศไทยมีความพยายามแก้ไขปัญหาเด็กอ้วนอย่างต่อเนื่อง ทั้งการส่งเสริมสุขภาพ และสนับสนุนให้มีสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการมีสุขภาพที่ดี อย่างที่กำลังดำเนินการ ในเรื่องของการควบคุมการตลาดอาหารที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพเด็ก เพื่อที่เมื่อโตขึ้นจะได้ลดความเสี่ยงของการเป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง(NCDS) อย่างไรก็ตาม มีรายงานพบด้วยว่า “การนอนดึก”ก็มีส่วนทำให้อ้วนได้มากขึ้นในวัยต่างๆด้วย 

เด็กอ้วนเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง 

จากการคาดการณ์ของสหพันธ์โรคอ้วนโลก (World Obesity Federation)  ในปี 2573 จะมีเด็กอ้วนทั่วโลกมากถึง 1 ใน 3 โดยเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปี จะมีภาวะน้ำหนักเกินและอ้วนสูงถึง 30 % สถานการณ์ปัจจุบันประเทศไทยมีเด็กที่เป็นโรคอ้วนสูงเป็นอันดับ 3 ของประเทศในกลุ่มอาเซียน รองจากประเทศมาเลเซีย และบรูไน

กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข รายงานการเฝ้าระวังโรคอ้วนในเด็กของประเทศไทย ระหว่างปี 2557 - ปี 2567 พบแนวโน้มเด็กเป็นโรคอ้วนเพิ่มมากขึ้นทุกปี

  • เด็กอายุ 0 - 5 ปี อ้วนเพิ่มขึ้นจาก 3.6 % เป็น 8.84 %
  • เด็กวัยเรียนอายุ 6-14 ปี อ้วนเพิ่มขึ้นจาก 8.9 % เป็น 13.21%
  • วัยรุ่นอายุ 15-18 ปี ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา มีเริ่มอ้วนและอ้วนลดลงเล็กน้อยจาก 13.84 %เป็น 13.46 % แต่ยังคงเกินเป้าหมายระดับชาติที่กำหนดไว้ คือ ไม่เกิน 11.5 %

 ในปี 2567 สถานการณ์ของประเทศไทย เด็กวัยเรียนในช่วงอายุ 6-14 ปีมีภาวะเริ่มอ้วนและอ้วน 546,434 คน เด็กวัยรุ่นในช่วงอายุ 15-18 ปี มีภาวะเริ่มอ้วนและอ้วน 230,027 คน หากไม่เร่งดำเนินการแก้ไข จะส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนไทยในอนาคต

 

เด็กมีพฤติกรรมกินอาหารที่ไม่เหมาะสม

 ผลการสำรวจพฤติกรรม ด้านสุขภาพของประชากร พ.ศ. 2564 โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่าเด็กอายุ 6 - 14 ปี  21.7 % กินอาหารแปรรูปประเภทเนื้อสัตว์ 34.6 % อาหารที่มีไขมันสูง และ34.2 % ขนมทานเล่นหรือขนมกรุบกรอบ อย่างน้อย 5 วันต่อสัปดาห์

นอกจากนี้ การสำรวจภาวะสุขภาพนักเรียนในประเทศไทย พ.ศ.2564 โดยกรมอนามัยและองค์การอนามัยโลก(WHO) พบว่าเด็กอายุ 13 - 17 ปี 15.3% กินผักอย่างน้อย 3 ครั้งต่อวัน 34.6% ดื่มน้ำอัดลมอย่างน้อย 1 ครั้งต่อวัน และ 39.3 % กินอาหารจากร้านอาหารจานด่วนอย่างน้อย 3 วันต่อสัปดาห์ ซึ่งจากผลการสำรวจดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า เด็กอายุ 6 - 14 ปี ยังมีพฤติกรรมการบริโภคอาหารที่ไม่เหมาะสม

การยุติโรคอ้วนในเด็กจากทุกภาคส่วน จะช่วยให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน พ.ศ. 2573 เป้าหมาย โภชนาการระดับโลก พ.ศ. 2568 และเป้าหมายโรคไม่ติดต่อเรื้อรังระดับโลก พ.ศ. 2568

อย่างไรก็ตาม จากรายงานวิจัยมาตรการและตัวชี้วัดเพื่อยุติโรคอ้วนในเด็กขององค์การอนามัยโลก (Ending Childhood Obesity : ECHO) ของประเทศไทย พบว่า ประเทศไทยยังมีช่องว่างการจัดการโรคอ้วนในเด็กที่สำคัญหนึ่งในนั้น และประเทศไทยยังไม่ได้ดำเนินการ คือ การดำเนินการตามชุดข้อเสนอแนะว่าด้วยการตลาดอาหารและเครื่องดื่มในเด็ก

 

คุมการตลาดอาหารคุ้มค่าคุ้มทุน

การผลักดันนโยบายควบคุมการตลาดอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพเด็ก และยกระดับมาตรการควบคุมการตลาดและการจัดจำหน่ายอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพให้มีผลบังคับใช้ทางกฎหมายจึงเป็นอีกเรื่องที่กรมอนามยกำลังดำเนินการ 

ทั้งนี้ มีข้อมูลวิจัยของประเทศไทยสนับสนุนว่า หากประเทศไทยออกมาตรการควบคุมสื่อโฆษณาอาหารและเครื่องดื่มที่มีไขมัน น้ำตาลและโซเดียมสูง(HFSS) แค่เพียงช่องทางโทรทัศน์ จะสามารถช่วยลด ดชนีมวลกาย (BMI) เด็ก (อายุ 6-12 ปี) ทั้งประเทศได้เฉลี่ย 0.32 กิโลกรัม /ตารางเมตร โดยใช้งบประมาณเพียง 1.13 ล้านบาท ทำให้ลดภาวะเริ่มอ้วนและโรคอ้วน ในเด็ก (อายุ 6-12 ปี) ได้ถึง 121,000 คน ซึ่งมีความคุ้มค่าคุ้มทุน

อ้วนกับการนอนดึก

ขณะที่ในประชาชนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไป ในปี 2563  มีภาวะอ้วน 42.2 % และอ้วนลงพุง 39.4 %  ไม่เพียงแต่เกิดจากพฤติกรรมการกิน การไม่ได้ออกกำลังกายแล้ว  ‘การนอนดึก’ ก็เป็นปัจจัยทำให้น้ำหนักพุ่งได้เช่นกัน ด้วย 3 กลไก คือ

1.ฮอร์โมนเครียดพุ่งปรี๊ด ฮอร์โมนเครียดหรือฮอร์โมนคอร์ติซอล(Cortisol) จะหลั่งมากขึ้นในวันถัดมา หลังจากที่เรานอนดึก และกระตุ้นให้อยากของหวานๆ หรือน้ำตาลมากกว่าเดิม

เมื่อเรารู้สึกเครียด คอร์ติซอลจะถูกกระตุ้นให้หลั่งมากขึ้น เพื่อต่อสู้กับความเครียดและฟื้นฟูร่างกาย ฮอร์โมนตัวนี้จึงไปกระตุ้นความหิวโหย เพื่อให้กินอาหารเข้าไปเป็นพลังงานให้กับร่างกาย ปลุกสมองให้ตื่นตัว โดยเฉพาะอาหารพลังงานสูง

ดังนั้น เมื่อรู้สึกเครียด ร่างกายจะถูกสั่งการให้รู้สึกหิวและอยากหาอะไรที่หวานๆ มันๆ หรืออาหารจำพวกแป้งมากินมากขึ้น จนเป็นสาเหตุที่ทำให้อ้วนขึ้นโดยไม่รู้ตัว

2.ฮอร์โมนหิวอาละวาด  การนอนดึกทำให้ฮอร์โมนเกรลิน หรือฮอร์โมนหิว หลั่งเพิ่มขึ้นด้วย จึงหิวมากกว่าเดิมคูณสอง ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ถูกหลั่งออกมาจากเซลล์กระเพาะอาหาร ช่วยกระตุ้นความหิว ทำให้รู้สึกอยากกินอาหารต่างๆ

เกรลินจะหลั่งมากเป็นพิเศษในขณะที่รู้สึกเครียดหรือวิตกกังวล ทำงานหนัก นอนดึกหรือพักผ่อนน้อย ส่งผลให้เรารู้สึกหิวง่ายและอยากกินนู่นกินนี่ตลอดเวลา ทั้งๆ ที่กินจนอิ่มแล้ว
3.ฮอร์โมนอิ่มหนีหาย เมื่อนอนดึก ฮอร์โมนเลปติน หรือฮอร์โมนอิ่มจะหลั่งลดลง ทำให้ทานเท่าไรก็ไม่ค่อยอิ่ม 

เลปตินหรือฮอร์โมนความอิ่ม ทำหน้าที่ควบคุมความอยากอาหาร หากร่างกายมีภาวะต้านฮอร์โมนเลปติน ฮอร์โมนนี้ก็จะไม่สามารถส่งสัญญาณไปยังสมองได้ ทำให้รู้สึกหิวตลอดเวลา และกินเท่าไรก็ไม่รู้จักอิ่ม จึงนำมาซึ่งโรคอ้วนและน้ำหนักเกินในที่สุด โดยภาวะการขาดฮอร์โมนเลปตินเกิดจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ หากยิ่งนอนน้อยก็จะยิ่งอยากกินอาหารเพิ่มมากขึ้น

ข้อแนะนำที่ควรทำเพื่อดูแลฮอร์โมนให้ทำงานเป็นปกติ ได้แก่

  • เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์มากขึ้น โดยเฉพาะโปรตีนไขมันต่ำที่ดี เช่น เนื้อปลา เต้าหู้ ถั่ว และอาหารที่มีกากใยสูงจากผัก ผลไม้
  • หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง เช่น ของทอด ของมัน ขนมเบเกอรี และเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง เช่น น้ำหวาน น้ำอัดลม ชา กาแฟ
  • นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ โดยควรนอนพักผ่อนวันละ 8 ชั่วโมงอย่างต่อเนื่อง และไม่ควรอดนอนติดต่อกันหลายวัน
  • ทำจิตใจให้สบาย ไม่เครียด รู้จักปล่อยวาง ทำกิจกรรมผ่อนคลายร่างกายและจิตใจ ด้วยการนั่งสมาธิ ออกกำลังกาย ออกไปท่องเที่ยว พบปะเพื่อนฝูง หรือทำงานอดิเรก

โรคอ้วนทำให้หยุดหายใจขณะนอนหลับ

ไม่เพียงแต่การนอนน้อยจะมีส่วนทำให้อ้วนแล้ว ทางกลับกันโรคอ้วน ส่งผลต่อการนอนหลับด้วย  นพ. วีรวัชร น้อมสวัสดิ์ อายุรแพทย์โรคระบบการหายใจและภาวะวิกฤติโรคระบบการหายใจ รพ.เจ้าพระยา ให้ข้อมูลเรื่อง โรคอ้วนกับปัญหาการนอนหลับไว้ว่า   ผู้ป่วยโรคอ้วนจะมีไขมันสะสมบริเวณช่องคอและทางเดินหายใจส่วนบนมากกว่าปกติ ทำให้ทางเดินหายใจส่วนบนตีบแคบลง แต่ในขณะตื่นกลุ่มกล้ามเนื้อคอหอย ซึ่งมีหน้าที่ขยายช่องคอทำงานชดเชยได้จึงไม่เกิดการอุดกั้นทางเดินหายใจส่วนนี้

 เมื่อนอนหลับกล้ามเนื้อจะเกิดการคลายตัว การทำงานชดเชยของกล้ามเนื้อขยายช่องคอทำได้ไม่เพียงพอ ทำให้ทางเดินหายใจส่วนบนตีบแคบขณะหลับ เกิดโรคหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น (Obstructive sleep apnea, OSA)

หากไม่ได้รับการรักษาในระยะยาวก็จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคความดันโลหิตสูง โรคเส้นเลือดหัวใจและสมองตีบ และโรคอื่น ๆ รวมถึงมีโอกาสเสียชีวิตก่อนวัยอันควรอีกด้วย โดยพบว่าความรุนแรงของโรคมักจะเพิ่มขึ้นตามดัชนีมวลกายที่เพิ่มขึ้น และเมื่อผู้ป่วยลดน้ำหนักได้ความรุนแรงของโรคหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้นก็มักจะลดลง

นอกจากนี้ ผู้ป่วยที่มีภาวะอ้วนมากขึ้น จะทำให้ร่างกายต้องใช้แรงมากขึ้น เพื่อขยายทรวงอกในการหายใจ ส่งผลให้กลศาสตร์ของระบบการหายใจแย่ลง ประกอบกับภาวะอ้วนทำให้การตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของออกซิเจนและคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือดลดลง ทำให้แรงขับเคลื่อนการหายใจเพื่อกำจัดคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งเป็นของเสียลดลง
รวมทั้ง มักมีภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้นที่รุนแรง ทำให้เกิดกลุ่มอาการอ้วนหายใจต่ำ (Obesity hypoventilation syndrome, OHS)เป็นภาวะแทรกซ้อนตามมา ซึ่งความรุนแรงของโรคก็มักจะเพิ่มขึ้นตามดัชนีมวลกายที่เพิ่มขึ้น และลดลงหรืออาจหายไปเมื่อผู้ป่วยลดน้ำหนักได้มากในระดับหนึ่ง

 การลดน้ำหนักในผู้ป่วยโรคอ้วน ต้องทำให้ได้อย่างยั่งยืน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการทำให้ผู้ป่วยเห็นถึงความสำคัญและความจำเป็นรวมถึงผลดีของการลดน้ำหนัก ควบคู่ไปกับการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ประกอบด้วย

1.การรับประทานอาหารพลังงานต่ำและไขมันต่ำ โดยการรับประทานอาหารพลังงาน 1,000-1,500 แคลอรีต่อวัน หรือลดพลังงาน 500-750 แคลอรีจากที่เคยรับประทาน และให้มีสัดส่วนของไขมันน้อยกว่าร้อยละ 15-20 ของพลังงานที่รับประทาน

2.การออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง อย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน 5 วันต่อสัปดาห์ และการมีกิจกรรมทางกายเพิ่มขึ้น

3.การใช้ยาลดน้ำหนัก

และ 4.การผ่าตัดเพื่อลดน้ำหนัก
กรณีการวางแผนการลดน้ำหนักในผู้ป่วยโรคอ้วน ด้วยการใช้ยาและการผ่าตัดที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย ต้องปรึกษาแพทย์และนักโภชนาการ

 

 

อ้างอิง : กรมอนามัย ,สสส., BDMS Wellness Clinic ,รพ.เจ้าพระยา

ที่มา…  https://www.bangkokbiznews.com/health/public-health/1169093

 


CARE