‘นอนดึก’ยิ่งอ้วน ฮอร์โมนอิ่มหนี-ฮอร์โมนหิวอาละวาด เสี่ยงหยุดหายใจขณะหลับ
- 4 มีนาคมของทุกปี เป็นวันอ้วนโลก สถานการณ์ในเด็กและคนไทยน่ากังวล นโยบายควบคุมการตลาดอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพเด็ก มีความคุ้มค่าคุ้มทุน ใช้งบฯราว 1.13 ล้านบาท ลดภาวะเริ่มอ้วนและโรคอ้วนในเด็ก อายุ 6-12 ปีได้ถึง 121,000 คน
- การนอนดึก ส่งผลต่อฮอร์โมนที่จะทำให้อ้วนได้ง่ายขึ้น คือ ฮอร์โมนความเครียด ฮอร์โมนความหิว และฮอร์โมนความอ้วน
- คนที่ป่วยเป็นโรคอ้วน เมื่อนอนหลับกล้ามเนื้อจะเกิดการคลายตัว การทำงานชดเชยของกล้ามเนื้อขยายช่องคอทำได้ไม่เพียงพอ ทำให้ทางเดินหายใจส่วนบนตีบแคบขณะหลับ เกิดโรคหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น

วันที่ 4 มีนาคมของทุกปี เป็นวันอ้วนโลก (World Obesity Day) ปีนี้รณรงค์ภายใต้แนวคิด “Changing systems Healthier lives” ระบบดี สุขภาพดี โดยมุ่งเน้นให้ทุกภาคส่วนรวมถึงประชาชน ร่วมกันปรับเปลี่ยนระบบสุขภาพและสภาพแวดล้อมให้เอื้อต่อการป้องกันและจัดการโรคอ้วน
โรคอ้วนเป็นปัญหาสำคัญ ซึ่งประเทศไทยมีความพยายามแก้ไขปัญหาเด็กอ้วนอย่างต่อเนื่อง ทั้งการส่งเสริมสุขภาพ และสนับสนุนให้มีสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการมีสุขภาพที่ดี อย่างที่กำลังดำเนินการ ในเรื่องของการควบคุมการตลาดอาหารที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพเด็ก เพื่อที่เมื่อโตขึ้นจะได้ลดความเสี่ยงของการเป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง(NCDS) อย่างไรก็ตาม มีรายงานพบด้วยว่า “การนอนดึก”ก็มีส่วนทำให้อ้วนได้มากขึ้นในวัยต่างๆด้วย
เด็กอ้วนเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
จากการคาดการณ์ของสหพันธ์โรคอ้วนโลก (World Obesity Federation) ในปี 2573 จะมีเด็กอ้วนทั่วโลกมากถึง 1 ใน 3 โดยเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปี จะมีภาวะน้ำหนักเกินและอ้วนสูงถึง 30 % สถานการณ์ปัจจุบันประเทศไทยมีเด็กที่เป็นโรคอ้วนสูงเป็นอันดับ 3 ของประเทศในกลุ่มอาเซียน รองจากประเทศมาเลเซีย และบรูไน
กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข รายงานการเฝ้าระวังโรคอ้วนในเด็กของประเทศไทย ระหว่างปี 2557 - ปี 2567 พบแนวโน้มเด็กเป็นโรคอ้วนเพิ่มมากขึ้นทุกปี
- เด็กอายุ 0 - 5 ปี อ้วนเพิ่มขึ้นจาก 3.6 % เป็น 8.84 %
- เด็กวัยเรียนอายุ 6-14 ปี อ้วนเพิ่มขึ้นจาก 8.9 % เป็น 13.21%
- วัยรุ่นอายุ 15-18 ปี ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา มีเริ่มอ้วนและอ้วนลดลงเล็กน้อยจาก 13.84 %เป็น 13.46 % แต่ยังคงเกินเป้าหมายระดับชาติที่กำหนดไว้ คือ ไม่เกิน 11.5 %
ในปี 2567 สถานการณ์ของประเทศไทย เด็กวัยเรียนในช่วงอายุ 6-14 ปีมีภาวะเริ่มอ้วนและอ้วน 546,434 คน เด็กวัยรุ่นในช่วงอายุ 15-18 ปี มีภาวะเริ่มอ้วนและอ้วน 230,027 คน หากไม่เร่งดำเนินการแก้ไข จะส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนไทยในอนาคต
เด็กมีพฤติกรรมกินอาหารที่ไม่เหมาะสม
ผลการสำรวจพฤติกรรม ด้านสุขภาพของประชากร พ.ศ. 2564 โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่าเด็กอายุ 6 - 14 ปี 21.7 % กินอาหารแปรรูปประเภทเนื้อสัตว์ 34.6 % อาหารที่มีไขมันสูง และ34.2 % ขนมทานเล่นหรือขนมกรุบกรอบ อย่างน้อย 5 วันต่อสัปดาห์
นอกจากนี้ การสำรวจภาวะสุขภาพนักเรียนในประเทศไทย พ.ศ.2564 โดยกรมอนามัยและองค์การอนามัยโลก(WHO) พบว่าเด็กอายุ 13 - 17 ปี 15.3% กินผักอย่างน้อย 3 ครั้งต่อวัน 34.6% ดื่มน้ำอัดลมอย่างน้อย 1 ครั้งต่อวัน และ 39.3 % กินอาหารจากร้านอาหารจานด่วนอย่างน้อย 3 วันต่อสัปดาห์ ซึ่งจากผลการสำรวจดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า เด็กอายุ 6 - 14 ปี ยังมีพฤติกรรมการบริโภคอาหารที่ไม่เหมาะสม
การยุติโรคอ้วนในเด็กจากทุกภาคส่วน จะช่วยให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน พ.ศ. 2573 เป้าหมาย โภชนาการระดับโลก พ.ศ. 2568 และเป้าหมายโรคไม่ติดต่อเรื้อรังระดับโลก พ.ศ. 2568
อย่างไรก็ตาม จากรายงานวิจัยมาตรการและตัวชี้วัดเพื่อยุติโรคอ้วนในเด็กขององค์การอนามัยโลก (Ending Childhood Obesity : ECHO) ของประเทศไทย พบว่า ประเทศไทยยังมีช่องว่างการจัดการโรคอ้วนในเด็กที่สำคัญหนึ่งในนั้น และประเทศไทยยังไม่ได้ดำเนินการ คือ การดำเนินการตามชุดข้อเสนอแนะว่าด้วยการตลาดอาหารและเครื่องดื่มในเด็ก
คุมการตลาดอาหารคุ้มค่าคุ้มทุน
การผลักดันนโยบายควบคุมการตลาดอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพเด็ก และยกระดับมาตรการควบคุมการตลาดและการจัดจำหน่ายอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพให้มีผลบังคับใช้ทางกฎหมายจึงเป็นอีกเรื่องที่กรมอนามยกำลังดำเนินการ
ทั้งนี้ มีข้อมูลวิจัยของประเทศไทยสนับสนุนว่า หากประเทศไทยออกมาตรการควบคุมสื่อโฆษณาอาหารและเครื่องดื่มที่มีไขมัน น้ำตาลและโซเดียมสูง(HFSS) แค่เพียงช่องทางโทรทัศน์ จะสามารถช่วยลด ดชนีมวลกาย (BMI) เด็ก (อายุ 6-12 ปี) ทั้งประเทศได้เฉลี่ย 0.32 กิโลกรัม /ตารางเมตร โดยใช้งบประมาณเพียง 1.13 ล้านบาท ทำให้ลดภาวะเริ่มอ้วนและโรคอ้วน ในเด็ก (อายุ 6-12 ปี) ได้ถึง 121,000 คน ซึ่งมีความคุ้มค่าคุ้มทุน
อ้วนกับการนอนดึก
ขณะที่ในประชาชนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไป ในปี 2563 มีภาวะอ้วน 42.2 % และอ้วนลงพุง 39.4 % ไม่เพียงแต่เกิดจากพฤติกรรมการกิน การไม่ได้ออกกำลังกายแล้ว ‘การนอนดึก’ ก็เป็นปัจจัยทำให้น้ำหนักพุ่งได้เช่นกัน ด้วย 3 กลไก คือ
1.ฮอร์โมนเครียดพุ่งปรี๊ด ฮอร์โมนเครียดหรือฮอร์โมนคอร์ติซอล(Cortisol) จะหลั่งมากขึ้นในวันถัดมา หลังจากที่เรานอนดึก และกระตุ้นให้อยากของหวานๆ หรือน้ำตาลมากกว่าเดิม
เมื่อเรารู้สึกเครียด คอร์ติซอลจะถูกกระตุ้นให้หลั่งมากขึ้น เพื่อต่อสู้กับความเครียดและฟื้นฟูร่างกาย ฮอร์โมนตัวนี้จึงไปกระตุ้นความหิวโหย เพื่อให้กินอาหารเข้าไปเป็นพลังงานให้กับร่างกาย ปลุกสมองให้ตื่นตัว โดยเฉพาะอาหารพลังงานสูง
ดังนั้น เมื่อรู้สึกเครียด ร่างกายจะถูกสั่งการให้รู้สึกหิวและอยากหาอะไรที่หวานๆ มันๆ หรืออาหารจำพวกแป้งมากินมากขึ้น จนเป็นสาเหตุที่ทำให้อ้วนขึ้นโดยไม่รู้ตัว
2.ฮอร์โมนหิวอาละวาด การนอนดึกทำให้ฮอร์โมนเกรลิน หรือฮอร์โมนหิว หลั่งเพิ่มขึ้นด้วย จึงหิวมากกว่าเดิมคูณสอง ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ถูกหลั่งออกมาจากเซลล์กระเพาะอาหาร ช่วยกระตุ้นความหิว ทำให้รู้สึกอยากกินอาหารต่างๆ
เกรลินจะหลั่งมากเป็นพิเศษในขณะที่รู้สึกเครียดหรือวิตกกังวล ทำงานหนัก นอนดึกหรือพักผ่อนน้อย ส่งผลให้เรารู้สึกหิวง่ายและอยากกินนู่นกินนี่ตลอดเวลา ทั้งๆ ที่กินจนอิ่มแล้ว
3.ฮอร์โมนอิ่มหนีหาย เมื่อนอนดึก ฮอร์โมนเลปติน หรือฮอร์โมนอิ่มจะหลั่งลดลง ทำให้ทานเท่าไรก็ไม่ค่อยอิ่ม
เลปตินหรือฮอร์โมนความอิ่ม ทำหน้าที่ควบคุมความอยากอาหาร หากร่างกายมีภาวะต้านฮอร์โมนเลปติน ฮอร์โมนนี้ก็จะไม่สามารถส่งสัญญาณไปยังสมองได้ ทำให้รู้สึกหิวตลอดเวลา และกินเท่าไรก็ไม่รู้จักอิ่ม จึงนำมาซึ่งโรคอ้วนและน้ำหนักเกินในที่สุด โดยภาวะการขาดฮอร์โมนเลปตินเกิดจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ หากยิ่งนอนน้อยก็จะยิ่งอยากกินอาหารเพิ่มมากขึ้น
ข้อแนะนำที่ควรทำเพื่อดูแลฮอร์โมนให้ทำงานเป็นปกติ ได้แก่
- เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์มากขึ้น โดยเฉพาะโปรตีนไขมันต่ำที่ดี เช่น เนื้อปลา เต้าหู้ ถั่ว และอาหารที่มีกากใยสูงจากผัก ผลไม้
- หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง เช่น ของทอด ของมัน ขนมเบเกอรี และเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง เช่น น้ำหวาน น้ำอัดลม ชา กาแฟ
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ โดยควรนอนพักผ่อนวันละ 8 ชั่วโมงอย่างต่อเนื่อง และไม่ควรอดนอนติดต่อกันหลายวัน
- ทำจิตใจให้สบาย ไม่เครียด รู้จักปล่อยวาง ทำกิจกรรมผ่อนคลายร่างกายและจิตใจ ด้วยการนั่งสมาธิ ออกกำลังกาย ออกไปท่องเที่ยว พบปะเพื่อนฝูง หรือทำงานอดิเรก
โรคอ้วนทำให้หยุดหายใจขณะนอนหลับ
ไม่เพียงแต่การนอนน้อยจะมีส่วนทำให้อ้วนแล้ว ทางกลับกันโรคอ้วน ส่งผลต่อการนอนหลับด้วย นพ. วีรวัชร น้อมสวัสดิ์ อายุรแพทย์โรคระบบการหายใจและภาวะวิกฤติโรคระบบการหายใจ รพ.เจ้าพระยา ให้ข้อมูลเรื่อง โรคอ้วนกับปัญหาการนอนหลับไว้ว่า ผู้ป่วยโรคอ้วนจะมีไขมันสะสมบริเวณช่องคอและทางเดินหายใจส่วนบนมากกว่าปกติ ทำให้ทางเดินหายใจส่วนบนตีบแคบลง แต่ในขณะตื่นกลุ่มกล้ามเนื้อคอหอย ซึ่งมีหน้าที่ขยายช่องคอทำงานชดเชยได้จึงไม่เกิดการอุดกั้นทางเดินหายใจส่วนนี้
เมื่อนอนหลับกล้ามเนื้อจะเกิดการคลายตัว การทำงานชดเชยของกล้ามเนื้อขยายช่องคอทำได้ไม่เพียงพอ ทำให้ทางเดินหายใจส่วนบนตีบแคบขณะหลับ เกิดโรคหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น (Obstructive sleep apnea, OSA)
หากไม่ได้รับการรักษาในระยะยาวก็จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคความดันโลหิตสูง โรคเส้นเลือดหัวใจและสมองตีบ และโรคอื่น ๆ รวมถึงมีโอกาสเสียชีวิตก่อนวัยอันควรอีกด้วย โดยพบว่าความรุนแรงของโรคมักจะเพิ่มขึ้นตามดัชนีมวลกายที่เพิ่มขึ้น และเมื่อผู้ป่วยลดน้ำหนักได้ความรุนแรงของโรคหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้นก็มักจะลดลง
นอกจากนี้ ผู้ป่วยที่มีภาวะอ้วนมากขึ้น จะทำให้ร่างกายต้องใช้แรงมากขึ้น เพื่อขยายทรวงอกในการหายใจ ส่งผลให้กลศาสตร์ของระบบการหายใจแย่ลง ประกอบกับภาวะอ้วนทำให้การตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของออกซิเจนและคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือดลดลง ทำให้แรงขับเคลื่อนการหายใจเพื่อกำจัดคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งเป็นของเสียลดลง
รวมทั้ง มักมีภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้นที่รุนแรง ทำให้เกิดกลุ่มอาการอ้วนหายใจต่ำ (Obesity hypoventilation syndrome, OHS)เป็นภาวะแทรกซ้อนตามมา ซึ่งความรุนแรงของโรคก็มักจะเพิ่มขึ้นตามดัชนีมวลกายที่เพิ่มขึ้น และลดลงหรืออาจหายไปเมื่อผู้ป่วยลดน้ำหนักได้มากในระดับหนึ่ง
การลดน้ำหนักในผู้ป่วยโรคอ้วน ต้องทำให้ได้อย่างยั่งยืน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการทำให้ผู้ป่วยเห็นถึงความสำคัญและความจำเป็นรวมถึงผลดีของการลดน้ำหนัก ควบคู่ไปกับการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ประกอบด้วย
1.การรับประทานอาหารพลังงานต่ำและไขมันต่ำ โดยการรับประทานอาหารพลังงาน 1,000-1,500 แคลอรีต่อวัน หรือลดพลังงาน 500-750 แคลอรีจากที่เคยรับประทาน และให้มีสัดส่วนของไขมันน้อยกว่าร้อยละ 15-20 ของพลังงานที่รับประทาน
2.การออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง อย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน 5 วันต่อสัปดาห์ และการมีกิจกรรมทางกายเพิ่มขึ้น
3.การใช้ยาลดน้ำหนัก
และ 4.การผ่าตัดเพื่อลดน้ำหนัก
กรณีการวางแผนการลดน้ำหนักในผู้ป่วยโรคอ้วน ด้วยการใช้ยาและการผ่าตัดที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย ต้องปรึกษาแพทย์และนักโภชนาการ
อ้างอิง : กรมอนามัย ,สสส., BDMS Wellness Clinic ,รพ.เจ้าพระยา
ที่มา… https://www.bangkokbiznews.com/health/public-health/1169093