ตลาดหุ้นไทยขาลงเดือน ก.ย. ดัชนีไหลรูดเฉียด 8% หนักสุด เจาะรายกลุ่ม "ร่วง-รอด" โบรกเกอร์ชี้ช่องเลือกหุ้นหลบภัยฝ่ามรสุมผันผวน สแกนหุ้นเด่น ตลท.เตือนหากเฟดขึ้นดอกเบี้ย กระทบเงินไหลออกบ้าง แต่เศรษฐกิจโลกยังไม่ดีท้ายที่สุดเงินย่อมไหลกลับภูมิภาคนี้
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ตลาดหุ้นไทยโดยรวมในช่วงเดือน ก.ย.นี้ยังน่าเป็นห่วง หลังในช่วงที่ผ่านมานับตั้งแต่ต้นเดือน ก.ย.-ปัจจุบัน (ปิดตลาดภาคเช้าวันที่ 12 ก.ย. 59) พบว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ปรับตัวลดลงกว่า 7.8% หรือประมาณ 120.33 จุด (จากระดับ 1,548.44 จุด ในวันที่ 1 ก.ย. ลงมาอยู่ที่ระดับ 1,428.11 จุด รอบเช้า12 ก.ย.) ซึ่งถือว่าเป็นตลาดหุ้นที่ปรับตัวลดลงมากที่สุดในโลก และติดลบแซงหน้าตลาดหุ้นในภูมิภาคอย่างฟิลิปปินส์และเกาหลีใต้ที่ลดลง 2.63% และ 2.12% ตามลำดับ
โดยหมวดอุตสาหกรรมที่ปรับตัวลดลงมากที่สุด 3 อันดับแรก (1-9 ก.ย. 59) ได้แก่ กลุ่มบริการเฉพาะกิจติดลบมากสุด 17.74% ตามด้วยกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม/วัสดุอุตสาหกรรมและเครื่องจักร -15.46% และกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค/ของใช้ในครัวเรือนและสำนักงาน -13.24%
ขณะที่อุตสาหกรรมที่ยังเป็นบวกหรือปรับตัวลงน้อยสุด ได้แก่ กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค/ของใช้ส่วนตัวและเวชภัณฑ์ ซึ่งเป็นกลุ่มเดียวที่ยังปรับขึ้น 3.34% รองลงมาคือกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (รีท) -0.66 และกลุ่มทรัพยากร/เหมืองแร่ -0.26% เป็นต้น
นายอภิชาติแนะนำว่า ในกลุ่มหุ้นที่ปรับตัวน้อยกว่าตลาดหุ้นและมีพื้นฐานที่ดี ซึ่งนักลงทุนสามารถเข้าไปลงทุนหรือหลบภัยได้ในช่วงตลาดขาลง ได้แก่ กลุ่มกองทุนรวมอสังหาฯและกองรีท ซึ่งจ่ายเงินปันผลดีที่สม่ำเสมอและค่อนข้างมีความผันผวนน้อยกว่าตลาดหุ้น และมักมีค่าเบต้า (ความผันผวนของหุ้นเทียบกับตลาด) ที่น้อยกว่า 1 ส่วน ได้แก่ ส่วนกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค/ของใช้ส่วนตัวและเวชภัณฑ์ และกลุ่มทรัพยากร/เหมืองแร่ ยังไม่แนะนำเข้าลงทุน เนื่องจากมีสภาพคล่องค่อนข้างน้อยและไม่ได้สะท้อนความแข็งแกร่งของตัวธุรกิจ
"ปัจจุบันตลาดหุ้นยังมีความเสี่ยงขาลงเพราะนอกเหนือปัจจัยภายในประเทศที่กดดันแล้วยังมีปัจจัยต่างประเทศเข้ามากระทบเพิ่มโดยเฉพาะด้านความกังวลต่อการให้น้ำหนักการปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟดในเดือน ก.ย.นี้ ขณะที่ปัจจัยหนุนจากความคาดหวังต่อการผ่อนคลายนโยบายการเงินของธนาคารกลางต่าง ๆ กลับดูเลือนรางลง"นายอภิชาติกล่าว
ด้านนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า กลยุทธ์การลงทุนภายใต้ความผันผวนจะมี 2 กลุ่มให้เลือกลงทุน ได้แก่ 1.หุ้นที่มีผลตอบแทนเงินปันผลสูงที่เข้าเงื่อนไขคือ เงินปันผลสูงเกินกว่า 4% ต่อปี, อัตราส่วนราคาต่อกำไร (ค่าพีอี) ไม่เกิน15 เท่า, มีความผันผวนต่ำ (ค่าเบต้าไม่เกิน 1) และมีอัพไซด์สูงเกินกว่า 15% โดยมีจำนวน 3 บริษัท คือ บมจ.เอ็ม.ซี.เอส.สตีล (MCS) เพราะคาดไตรมาส 3/59 ผลประกอบการจะโดดเด่นจากปริมาณการส่งออกรวมทรงตัวระดับสูง รวมทั้งการแข็งค่าของเงินเยนและมีโอกาสปรับเพิ่มประมาณการ, บมจ.ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง (RATCH) ที่จัดเป็นหุ้นตั้งรับ (Defensive Stock) ผลประกอบการเติบโตต่อเนื่องในระยะยาว และคาดหวังอัพไซด์ (ปรับขึ้น)จากโครงการต่างประเทศได้ และ 3.บมจ.เอเซียเสริมกิจลีสซิ่ง (ASK) ซึ่งผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงกว่า 7% อีกทั้งยังมีปัจจัยหนุนจากโครงการก่อสร้างภาครัฐหนุนความต้องการใช้สินเชื่อรถบรรทุก
นอกจากนี้ยังมีอีกกลุ่มหุ้นสำหรับนักลงทุนที่คาดหวังการฟื้นตัวหลังราคาหุ้นปรับลดลงมากและเป็นหุ้นที่มีความปลอดภัยคือหุ้นที่มีผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงตั้งแต่ 3.5% ขึ้นไป, ค่าพี/อี (ราคาปิดต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น) ไม่สูงกว่าตลาดหุ้น และมีอัพไซด์ตั้งแต่ 10% ขึ้นไป บริษัทแนะนำ บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC), บมจ.อินทัช โฮลดิ้งส์ (INTUCH), บมจ.ทีทีดับบลิว (TTW), บมจ.จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก (EASTW), บมจ.ปตท. (PTT), บมจ.ปูนซีเมนต์นครหลวง (SCCC) และ บมจ.ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส (HANA)
นายภากร ปีตธวัชชัย รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร และหัวหน้าสายงานการเงินและบริหารเงินลงทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาได้ปรับตัวลดลงราว 5-6% เพราะตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาดัชนีได้พุ่งขึ้นไปค่อนข้างสูงกว่า 25% แล้ว จึงส่งผลให้มีแรงขายทำกำไรออกมาบ้าง และคาดว่าตลอดทั้งเดือนดัชนีจะยังผันผวนต่อเนื่อง
"หากใกล้ประชุมเฟด (ธนาคารกลางของสหรัฐ) ดัชนีหุ้นไทยก็จะมีความผันผวนเกิดขึ้นได้ตลอด ถ้ามีการปรับขึ้นดอกเบี้ยจริงก็อาจจะมีเงินไหลออกไปบ้าง แต่เนื่องด้วยเศรษฐกิจประเทศขนาดใหญ่อื่น ๆ ทั้งยุโรป ญี่ปุ่น จีน ก็ยังไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร จึงเชื่อว่าท้ายที่สุดเงินก็จะไหลกลับเข้ามาในภูมิภาคของเราอยู่ดี" นายภากรกล่าว
สำหรับตลาดหุ้นในกลุ่ม TIP ถือว่ายังคงมีความแข็งแกร่งอย่างมาก เห็นได้จากอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิของช่วงครึ่งปีแรกของตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ 6% อินโดนีเซีย 20% และฟิลิปปินส์ 20% นอกจากนี้ไทยยังโดดเด่นในเรื่องผลตอบแทนจากเงินปันผลที่อยู่ 3.11% (31 ส.ค. 2559) สูงกว่าตลาดหุ้นในเอเชีย 9 ประเทศ ที่โดยเฉลี่ยให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลราว 2.67%