ห้องเม่าปีกเหล็ก

สภาพัฒน์ฯ เผยจีดีพีไตรมาส 1 ปี 65

โดย คเณชา
เผยแพร่ :
68 views

สภาพัฒน์ฯ เผยจีดีพีไตรมาส 1 ปี 65 โต 2.2% ปรับลดเป้าทั้งปีเป็น 2.5 - 3.5% จากผลรัสเซียยูเครน

นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกของปี 2565 ขยายตัว 2.2% เร่งขึ้นจากการขยายตัว 1.8% ในไตรมาสก่อนหน้า และเมื่อปรับผลของฤดูกาลออกแล้ว เศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกของปี 2565 ขยายตัวจากไตรมาสที่สี่ของปี 2564 ที่ 1.1% 

ด้านการใช้จ่าย การอุปโภคบริโภคภาคเอกชนและการส่งออกบริการขยายตัวเร่งขึ้น การลงทุนภาคเอกชนกลับมาขยายตัว ขณะที่การส่งออกสินค้าชะลอตัว และการลงทุนภาครัฐปรับตัวลดลง การอุปโภคบริโภคภาคเอกชน ขยายตัว3.9%  เร่งขึ้นจากการขยายตัว 0.4% ในไตรมาสก่อนหน้า เป็นผลมาจากการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจปรับตัวเข้าสู่ภาวะ ปกติมากขึ้น รวมทั้งการปรับตัวดีขึ้นของฐานรายได้ในระบบเศรษฐกิจและการดำเนินมาตรการของภาครัฐ อย่างต่อเนื่อง 

โดยการใช้จ่ายภาคเอกชนปรับตัวดีขึ้นในทุกหมวด การใช้จ่ายหมวดบริการเพิ่มขึ้น 4.4% เทียบกับการลดลง 1.6% ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการกลับมาขยายตัวของการใช้จ่ายในกลุ่มโรงแรมและ ภัตตาคาร และกลุ่มนันทนาการและวัฒนธรรม การใช้จ่ายหมวดสินค้าไม่คงทนขยายตัว 4.1% เร่งขึ้น จากการขยายตัว 3.7% ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการเพิ่มขึ้นของการใช้จ่ายกลุ่มไฟฟ้า และก๊าซฯ กลุ่มอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ และกลุ่มเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์และยาสูบ 

ขณะที่การใช้จ่าย หมวดสินค้ากึ่งคงทนขยายตัว 0.4% ปรับตัวดีขึ้นจากการลดลง 0.8% ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการขยายตัวเร่งขึ้นของการใช้จ่ายกลุ่มเสื้อผ้าและรองเท้า และการใช้จ่ายในหมวดสินค้าคงทนขยายตัว  3.8% ปรับตัวดีขึ้นจากการลดลง 5.4% ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการกลับมาขยายตัวในเกณฑ์สูง ของการใช้จ่ายเพื่อซื้อยานพาหนะ

อย่างไรก็ตาม ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจโดยรวมใน ไตรมาสนี้ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 37.3 จากระดับ 38.9 ในไตรมาสก่อนหน้า ตามความกังวลเกี่ยวกับการเพิ่มขึ้น ของภาระค่าครองชีพท่ามกลางความไม่แน่นอนของสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน 

ส่วนการใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคของรัฐบาล ขยายตัว 4.6% ชะลอลงจากการขยายตัว 8.1% ในไตรมาสก่อนหน้า โดยรายจ่ายการโอนเพื่อสวัสดิการทางสังคมที่ไม่เป็นตัวเงินสำหรับสินค้าและบริการใน ระบบตลาดขยายตัวสูง 74.5% ตามการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายสำหรับการรักษาพยาบาลโรคโควิด-19 ส่วนค่าตอบแทนแรงงาน (ค่าจ้าง เงินเดือน) ลดลง 2.6%และค่าซื้อสินค้าและบริการลดลง  3.8% สำหรับอัตราการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำในไตรมาสนี้อยู่ที่ 20.6% (ต่ำกว่าอัตราเบิกจ่าย 35.5% ในไตรมาสก่อนหน้าแต่สูงกว่า 19.6% ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน)

ด้านการลงทุนรวม ขยายตัว 0.8% ปรับตัวดีขึ้นจากการลดลง 0.2% ในไตรมาสก่อนหน้า โดยการลงทุน ภาคเอกชนขยายตัว 2.9% ปรับตัวดีขึ้นจากการลดลง 0.8% ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการขยายตัว ของการลงทุนในหมวดเครื่องจักรเครื่องมือ 5.4% เทียบกับการลดลง 0.9% ในไตรมาสก่อนหน้าส่วนการลงทุนในหมวดก่อสร้างลดลง 8.0% ต่อเนื่องจากการลดลง 0.7% ในไตรมาสก่อนหน้า 

ขณะที่การลงทุนภาครัฐลดลง 4.7% เทียบกับการขยายตัว 1.7% ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการลดลงของทั้งการลงทุนรัฐบาล6.5%  และรัฐวิสาหกิจ 2.1% สำหรับอัตราการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายลงทุนในไตรมาสนี้อยู่ที่ 15.1% (ต่ำกว่าอัตราเบิกจ่าย 16.0% ในไตรมาสก่อนหน้า แต่สูงกว่า 14.3% ในช่วงเดียวกันของปีก่อน) 

ในด้านภาคการค้าต่างประเทศ การส่งออกสินค้า มีมูลค่า 73,288 ล้านดอลลาร์ สรอ. ขยายตัว  14.6% ชะลอลงจากการขยายตัว 21.3% ในไตรมาสก่อนหน้า โดยปริมาณส่งออกเพิ่มขึ้น 10.2%เทียบกับ 16.9% ในไตรมาสก่อนหน้า และราคาส่งออกเพิ่มขึ้น  4.0% เทียบกับ 3.7% ในไตรมาสก่อนหน้า

โดยกลุ่มสินค้าที่มีมูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้น เช่น เคมีภัณฑ์และปิโตรเคมี (18.7%) เครื่องจักรและอุปกรณ์ (5.7%) ชิ้นส่วนและอุปกรณ์ยานยนต์ (3.5%) ชิ้นส่วนและอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ (15.1%) เครื่องปรับอากาศ (5.6%) อาหารสัตว์ (26.3%) ข้าว (19.3%) ยางพารา (6.2%) และ น้ำตาล (180.9%) เป็นต้น กลุ่มสินค้าที่มีมูลค่าส่งออกลดลง เช่น รถยนต์นั่ง (49.1%) รถกระบะ (28.9%) ผลิตภัณฑ์ยาง (ลดลง 25.0%) และทุเรียน (ลดลง 48.2%) เป็นต้น 

ทั้งนี้การส่งออกสินค้า ไปยังตลาดส่งออกหลักยังคงขยายตัวในอัตราชะลอลง ขณะที่การส่งออกไปยังตลาดออสเตรเลียลดลง เมื่อหักการส่งออกทองคำที่ยังไม่ขึ้นรูปออกแล้ว มูลค่าการส่งออกสินค้าขยายตัว 9.7% และเมื่อคิดในรูปของเงินบาท มูลค่าการส่งออกสินค้าขยายตัว 25.1% 

ส่วนการนำเข้าสินค้า มีมูลค่า 64,135 ล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้น 16.5% เทียบกับการขยายตัว% 20.6 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยราคานำเข้าเพิ่มขึ้น 11.3%และปริมาณนำเข้าเพิ่มขึ้น 4.6% ส่งผลให้ดุลการค้าเกินดุล9.2 พันล้านดอลลาร์ สรอ. (302.4 พันล้านบาท)

ด้านการผลิต สาขาที่พักแรมและบริการด้านอาหาร และสาขาเกษตรกรรม การป่าไม้ และการประมง กลับมาขยายตัว สาขาขนส่งและสถานที่เก็บสินค้าขยายตัวเร่งขึ้น ขณะที่สาขาการผลิตสินค้าอุตสาหกรรม สาขาการขายส่ง ขายปลีก และการซ่อมฯ และสาขาการไฟฟ้าและก๊าซฯ ชะลอตัว และสาขาการก่อสร้างลดลง ต่อเนื่อง สาขาเกษตรกรรม การป่าไม้ และการประมง กลับมาขยายตัว 4.1% ปรับตัวดีขึ้นจากการลดลง  0.6% ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการเพิ่มขึ้นของผลผลิตหมวดพืชผลสำคัญ 

อาทิ ข้าวเปลือกเพิ่มขึ้น  19.3% อ้อยเพิ่มขึ้น 21.1% กลุ่มไม้ผลเพิ่มขึ้น 4.1% ปาล์มน้ำมันเพิ่มขึ้น 15.3% และ ยางพาราเพิ่มขึ้น 1.2% ส่วนผลผลิตพืชเกษตรสำคัญที่ลดลง อาทิ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ลดลง5.5%  และมันสำปะหลังลดลง 1.6% และหมวดประมงกลับมาขยายตัวครั้งแรกในรอบ 9 ไตรมาส  2.5% ในขณะที่หมวดปศุสัตว์ลดลงต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 5 ที่ 2.3% ส่วนดัชนีราคาสินค้าเกษตรเพิ่มขึ้น 4.7% ปรับตัวดีขึ้นจากการลดลง 4.3% ในไตรมาสก่อนหน้า โดยเฉพาะราคาสุกรเพิ่มขึ้น 23.6% ราคาปาล์มน้ำมันเพิ่มขึ้น 52.1% ราคาไก่เนื้อเพิ่มขึ้น 16.2% ราคาอ้อยเพิ่มขึ้น 16.6% และราคายางพาราเพิ่มขึ้น 5.0% เป็นต้น 

โดยการเพิ่มขึ้นของดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรและดัชนีราคาสินค้าเกษตร ส่งผลให้ดัชนีรายได้เกษตรกรโดยรวมกลับมาขยายตัวครั้งแรกในรอบ 3 ไตรมาส  9.3% สาขาการผลิตสินค้าอุตสาหกรรม เพิ่มขึ้น 1.9% ชะลอลงจากการขยายตัว 3.8% ในไตรมาสก่อนหน้า โดยเป็นผลจากดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมกลุ่มการผลิตเพื่อบริโภคภายในประเทศ (สัดส่วนส่งออกน้อยกว่า  30%) ที่เพิ่มขึ้น 1.9% ชะลอตัวจากการขยายตัว 4.0% ในไตรมาสก่อนหน้า และดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมที่มีสัดส่วนการส่งออกในช่วง 30 – 60% เพิ่มขึ้น 2.1% ชะลอตัว จากการขยายตัว 3.8% ในไตรมาสก่อนหน้า

ขณะเดียวกัน ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมกลุ่มการผลิต เพื่อส่งออก (สัดส่วนส่งออกมากกว่า60%) ปรับตัวลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ไตรมาสที่  0.2% เทียบกับการขยายตัว 6.6% ในไตรมาสก่อนหน้า อัตราการใช้กำลังการผลิตเฉลี่ยในไตรมาสนี้อยู่ที่  66.35% สูงกว่า 64.51% ในไตรมาสก่อนหน้า และใกล้เคียงกับ 66.32% ในไตรมาสเดียวกัน ของปีก่อน 

โดยดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมสำคัญ ๆ ที่เพิ่มขึ้น เช่น การผลิตผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นปิโตรเลียม (14.1%) การผลิตยานยนต์ (3.0%) การผลิตชิ้นส่วนและแผ่นวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (7.3%) การผลิตน้ำตาล (10.4%) และการผลิตมอลต์และสุราที่ทำจากข้าวมอลต์ (22.8%) เป็นต้น

ขณะที่ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมสำคัญ ๆ ที่ลดลง เช่น การผลิตคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วง (ลดลง 13.0%) การผลิตเหล็กและเหล็กกล้าขั้นมูลฐาน (ลดลง 9.4%) การผลิตผลิตภัณฑ์คอนกรีต ปูนซีเมนต์ และปูนปลาสเตอร์ (ลดลง 4.7%) การผลิตเครื่องจักรอื่น ๆ ที่ใช้งานทั่วไป (ลดลง 6.7%) และการผลิตอาหารสัตว์สำเร็จรูป (ลดลง 4.9%) เป็นต้น 

ด้านสาขาที่พักแรมและบริการด้านอาหาร ขยายตัว ในเกณฑ์สูง34.1%  ปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับการลดลง 4.9% ในไตรมาสก่อนหน้า และเป็นการกลับมาขยายตัวครั้งแรกในรอบ 3 ไตรมาส ตามการกลับมาขยายตัวของการท่องเที่ยวภายในประเทศ และการขยายตัวในเกณฑ์สูงของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศ

โดยในไตรมาสนี้มี รายรับจากนักท่องเที่ยวชาวไทยอยู่ที่ 0.144 ล้านล้านบาท ขยายตัวครั้งแรกในรอบ 11 ไตรมาส  63.8% เป็นผลมาจากการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ของภาครัฐ ความคืบหน้า ในการกระจายวัคซีน และการดำเนินมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศ 

ส่วนนักท่องเที่ยว ต่างประเทศมีจำนวน 497,693 คน เทียบกับ 20,172 คนในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยเป็นผลจาก การกลับมาดำเนินมาตรการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่ฉีดวัคซีนครบแล้วแบบไม่กักตัวและไม่จำกัดพื้นที่ (Test & Go) ประกอบกับการผ่อนคลายมาตรการเดินทางออกนอกประเทศของหลายประเทศทั่วโลก

สำหรับอัตราการเข้าพักเฉลี่ยอยู่ที่ 36.15% สูงกว่า 26.25% ในไตรมาสก่อนหน้า และสูงกว่า 16.15% ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน สาขาการขายส่งและการขายปลีก การซ่อมยานยนต์และจักรยานยนต์ เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 4 ที่ 2.9% เทียบกับการขยายตัว 3.0% ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการปรับตัวดีขึ้นของการใช้จ่ายภาคครัวเรือนและจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศ และการขยายตัว ต่อเนื่องของกิจกรรมการผลิตและการส่งออก 

ด้านสาขาการขนส่งและสถานที่เก็บสินค้าเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็น ไตรมาสที่ 2 ที่ 4.6% เร่งขึ้นจากการขยายตัว 3.2% ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการขยายตัวของบริการ ขนส่งทางอากาศและการกลับมาขยายตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 3 ไตรมาสของบริการขนส่งทางบก และท่อลำเลียง 

สำหรับบริการสนับสนุนการขนส่งและบริการไปรษณีย์เพิ่มขึ้นต่อเนื่องสาขาการไฟฟ้า ก๊าซ ไอน้ำ และระบบปรับอากาศ เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 2 ที่ 2.0% เทียบกับ 2.1% ในไตรมาสก่อนหน้า โดยกิจกรรมการผลิตไฟฟ้าขยายตัวเร่งขึ้นตามการเพิ่มขึ้นของปริมาณการใช้ไฟฟ้า ภาคครัวเรือนและภาคอุตสาหกรรมเป็นสำคัญ ในขณะที่กิจกรรมโรงแยกก๊าซปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 3  เสถียรภาพทางเศรษฐกิจ อัตราการว่างงานอยู่ที่ 1.53%ต่ำกว่า 1.64%ในไตรมาสก่อนหน้า และต่ำกว่า 1.96% ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ที่ 4.7% และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเฉลี่ยอยู่ที่ 1.4% 

สำหรับดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุล 1.6 พันล้านดอลลาร์ สรอ. (5.3 หมื่นล้านบาท) หรือคิดเป็น1.2%  ของ GDP เงินทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2565 อยู่ที่ 2.42 แสนล้านดอลลาร์ สรอ. และหนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2565 มีมูลค่าทั้งสิ้น 9,951,962.7 ล้านบาท คิดเป็น 60.6% ของ GDP

นายดนุชา เปิดเผยต่อว่า สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจไทย ปี 2565 คาดว่าจะขยายตัวในช่วง 2.5 - 3.5% โดยมีปัจจัยสนับสนุนสำคัญจาก การปรับตัวดีขึ้นของอุปสงค์ภายในประเทศ การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว และการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ของการส่งออกสินค้า 

โดยคาดว่ามูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปดอลลาร์ สรอ. จะขยายตัว 7.3% การอุปโภคบริโภคภาคเอกชนจะขยายตัว 3.9%และการลงทุนภาคเอกชนขยายตัว  3.5% ขณะที่การลงทุน ภาครัฐขยายตัว 3.4% ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปคาดว่าจะอยู่ในช่วง 4.2 - 5.2% และดุลบัญชี เดินสะพัดมีแนวโน้มขาดดุล1.5%  ของ GDP โดยรายละเอียดของการประมาณการเศรษฐกิจในปี2565 ในด้านต่าง ๆ มีดังนี้ 

1. การใช้จ่ายเพื่ออุปโภคบริโภค

(1) การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคภาคเอกชน คาดว่าจะ ขยายตัว 3.9% ปรับตัวดีขึ้นจากการขยายตัว 0.3% ในปี 2564 ตามแนวโน้มการฟื้นตัวของฐาน รายได้ในระบบเศรษฐกิจและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของภาคครัวเรือนเข้าสู่ภาวะปกติหลังความรุนแรงใน การแพร่ระบาดของโรคลดลง แต่เป็นการปรับลดจาก 4.5% ในการประมาณการครั้งก่อน ตามการเพิ่มขึ้น ของอัตราเงินเฟ้อซึ่งส่งผลต่อกำลังซื้อของครัวเรือน 

(2) การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคภาครัฐบาล คาดว่าจะ ลดลง 0.2% เทียบกับการขยายตัว 3.2% ในปี 2564 และเท่ากับการประมาณการครั้งก่อน สอดคล้องกับการคงสมมติฐานอัตราการเบิกจ่ายงบประจำภายใต้งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2565 ที่ 98% ของวงเงินงบประมาณ รวมทั้งการเบิกจ่ายภายใต้ของแผนงานและโครงการที่ได้รับการอนุมัติ ภายใต้พระราชกำหนดเงินกู้ฯ เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 วงเงิน 5 แสนล้านบาท 

2. การลงทุนรวม คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 3.5% เทียบกับ 3.4% ในปี 2564 และเป็นการปรับลด จากการขยายตัว 4.0% ในประมาณการครั้งก่อน โดย

(1) การลงทุนภาคเอกชน คาดว่าจะขยายตัว 3.5% เร่งขึ้นจาก3.3%  ในปี 2564 และปรับลดจาก 3.8% ในการประมาณการครั้งก่อน 

(2) การลงทุนภาครัฐ คาดว่าจะขยายตัว 3.4% เทียบกับ3.8%  ในปี 2564 และปรับลดลงจาก  4.6% ในการประมาณการครั้งที่ผ่านมา สอดคล้องกับการปรับลดสมมติฐานการเบิกจ่ายงบลงทุนภายใต้ งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2565

3. มูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปเงินดอลลาร์ สรอ. คาดว่าจะขยายตัว 7.3% เทียบกับ 18.8 %ในปี 2564 และปรับเพิ่มจาก 4.9% ในการประมาณการครั้งก่อน โดยเป็นผลจากการปรับเพิ่ม สมมติฐานราคาส่งออกให้สอดคล้องกับสมมติฐานราคาน้ำมันและราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ในขณะที่ปริมาณ การส่งออกสินค้าคาดว่าจะขยายตัว 3.5% ปรับลดลงจาก 3.9% ในการประมาณการครั้งก่อน สอดคล้องกับการปรับลดสมมติฐานการขยายตัวของเศรษฐกิจและปริมาณการค้าโลก 

ขณะที่การส่งออกบริการ มีแนวโน้มขยายตัวสูงกว่าการประมาณการครั้งที่ผ่านมาตามการปรับเพิ่มสมมติฐานจำนวนนักท่องเที่ยว ต่างประเทศ เมื่อรวมกับการส่งออกสินค้าทำให้ปริมาณการส่งออกสินค้าและบริการในปี 2565 มีแนวโน้มที่จะขยายตัว 8.3% เทียบกับการขยายตัว 8.9% ในการประมาณการครั้งก่อน และ 10.4% ในปี 2564

นายดนุชา เปิดเผยว่า สำหรับการบริหารนโยบายเศรษฐกิจในปี 2565 ควรให้ความสำคัญกับ 

1.การรักษาแรงขับเคลื่อนทาง เศรษฐกิจจากการใช้จ่ายของภาคครัวเรือน โดย (1) การติดตาม เฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมการระบาดของ โรคโควิด-19 (2) การดูแลและแก้ไขปัญหาหนี้สินของครัวเรือน (3) การดูแลกลไกตลาดเพื่อให้ราคาสินค้า เคลื่อนไหวสอดคล้องกับต้นทุนการผลิต และ (4) การดูแลกลุ่มที่มีความเปราะบางต่อการปรับตัวเพิ่มขึ้นของ ราคาสินค้า 

2.การสนับสนุนการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวและบริการเกี่ยวเนื่อง โดย (1) การส่งเสริมการ ท่องเที่ยวภายในประเทศ (2) การจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวที่มีศักยภาพ และมีกำลังซื้อสูง (3) การพิจารณามาตรการสินเชื่อและมาตรการอื่น ๆ เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการให้ สามารถกลับมาประกอบธุรกิจ และ (4) การยกระดับศักยภาพและฟื้นฟูภาคการท่องเที่ยวให้มีคุณภาพและยั่งยืน  3.การรักษาแรงขับเคลื่อนจากการส่งออกสินค้า โดย (1) การขับเคลื่อนการส่งออกสินค้าสำคัญไปยังตลาด หลักและการสร้างตลาดใหม่ให้กับสินค้าที่มีศักยภาพ โดยเฉพาะกลุ่มประเทศที่ได้รับประโยชน์จากการเพิ่มขึ้น ของราคาพลังงาน (2) การพัฒนาสินค้าส่งออกให้มีคุณภาพและมาตรฐาน (3) การใช้ประโยชน์จากกรอบความ ตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ควบคู่ไปกับการเร่งรัดการเจรจาความตกลงการค้าเสรีที่ กำลังอยู่ในขั้นตอนของการเจรจา และการเตรียมศึกษาเพื่อเจรจากับประเทศคู่ค้าสำคัญใหม่ ๆ และ (4) การปกป้องความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนและการเพิ่มขึ้นของต้นทุนการผลิต 

4.การส่งเสริมการลงทุนภาคเอกชน โดย (1) การเร่งรัดให้ผู้ประกอบการที่ได้รับอนุมัติและออกบัตรส่งเสริม การลงทุนให้เกิดการลงทุนจริง (2) การแก้ไขปัญหาที่เป็นอุปสรรคต่อการลงทุนและการประกอบธุรกิจ (3) การดำเนินมาตรการส่งเสริมการลงทุนเชิงรุก (4) การส่งเสริมการลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษต่าง ๆ (5) การลงทุนพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจและโครงสร้างพื้นฐานด้าน คมนาคมขนส่งที่สำคัญ ๆ และ (6) การพัฒนากำลังแรงงานทักษะสูงเพื่อรองรับกับอุตสาหกรรมที่เน้น เทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้มข้น

5.การขับเคลื่อนการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐ 

6.การดูแลการผลิต ภาคเกษตรและรายได้เกษตรกร โดย (1) การบริหารจัดการน้ำอย่างเหมาะสมเพื่อเตรียมการรองรับฤดูกาล เพาะปลูก และ (2) การบรรเทาผลกระทบจากปัญหาต้นทุนวัตถุดิบทางการเกษตรเพิ่มขึ้น 

7.การ ติดตาม เฝ้าระวัง และเตรียมมาตรการรองรับความผันผวนของเศรษฐกิจและการเงินโลก

 


คเณชา