ห้องเม่าปีกเหล็ก

ความปกติใหม่ (New Normal) ของการลงทุนหุ้นสหรัฐฯ และความกลัวต่อภาวะฟองสบู่

โดย JomFolk
เผยแพร่ :
36 views

ความปกติใหม่ (New Normal) ของการลงทุนหุ้นสหรัฐฯ และความกลัวต่อภาวะฟองสบู่

By ปิยะทัศน์ พาโสมนัสสกุล Head of Investment Advisory Department, Investment Product & Strategy Group บล.ไพน์ เวลท์ โซลูชั่น จำกัด

 

  • "ความปกติใหม่" ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ คือการที่ระดับมูลค่า (Valuation) สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลมาจากโครงสร้างดัชนีที่อิงตามมูลค่าตลาด (Market Cap. Weight) และการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีขนาดใหญ่
  • นักลงทุนมีความกังวลต่อภาวะ "ฟองสบู่หุ้นเทคโนโลยี-AI" มากขึ้น เนื่องจากราคาหุ้นกลุ่มผู้นำตลาดปรับตัวขึ้นสูงกว่าดัชนี S&P 500 อย่างโดดเด่นในช่วงที่ผ่านมา
  • อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์มองว่าสถานการณ์ปัจจุบันยังไม่เข้าสู่ภาวะฟองสบู่เมื่อเทียบกับยุคดอทคอม เนื่องจากบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ในปัจจุบันมีกระแสเงินสดที่แข็งแกร่ง, มีการซื้อหุ้นคืนและจ่ายปันผล, และมีระดับ P/E Ratio ที่ต่ำกว่า
  • การปรับตัวขึ้นของราคาหุ้นขนาดใหญ่สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐาน โดยสัดส่วนกำไรของบริษัท Top 50 ในดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และคาดการณ์การเติบโตของกำไรในอนาคตยังคงแข็งแกร่ง
  • แม้ Valuation ที่สูงจะทำให้ตลาดอ่อนไหวต่อปัจจัยลบระยะสั้น แต่ผู้เขียนยังคงมีมุมมองเชิงบวกและแนะนำให้ทยอยสะสม (Accumulated Buy) โดยใช้หุ้นสหรัฐฯ เป็นแกนหลักของพอร์ตการลงทุนในระยะ 6-12 เดือนข้างหน้า

 

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ตลอดช่วง 3-5 ปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันเป็นตลาดหุ้นที่ไม่เคยถูกทั้งในแง่มุมของราคาและการประเมินมูลค่าจากโครงสร้างของตลาดหุ้นหลักอย่างดัชนี S&P 500 ซึ่งอิงมูลค่าหลักทรัพย์ถ่วงน้ำหนักตามมูลค่าตลาดหรือ Market Capitalization Weight ดังนั้นเมื่อราคาหุ้นกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งปรับตัวขึ้นมาอย่างมีนัยสำคัญ ยกตัวอย่างเช่น หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและบริษัทขนาดใหญ่ตลอดช่วงเวลาดังกล่าวระดับ Valuation ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ จึงค่อยๆ สูงขึ้นเมื่อเทียบกับอดีตและอาจเรียกได้ว่านี้คือ “ความปกติใหม่” ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ และตลาดหุ้นอีกหลายๆ แห่งทั่วโลกในปัจจุบัน

 

 

บนความกลัวของนักลงทุนในภาวะ “ฟองสบู่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี-AI” เพราะหุ้นกลุ่มผู้นำตลาดปรับตัวขึ้นอย่างโดดเด่นในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา เบื้องต้นจะขอยกตัวอย่าง 5 บริษัทที่มี Market Cap. สูงสุดในดัชนี S&P 500 ณ วันที่ 4 พ.ย. 2025 จะพบว่าหุ้น NVIDIA ปรับตัวเพิ่มขึ้นราว +44.8%, APPLE +22.2%, Microsoft +25.5%, Alphabet (Google) +63.3%, AMAZON +26.9% เทียบกับดัชนี S&P 500 ที่ +18.3% ตามลำดับ นอกจากหุ้น 5 อันดับแรกแล้วหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ และบริษัทขนาดใหญ่อื่นๆ ต่างปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าดัชนี S&P 500 ในช่วงเวลาเดียวกัน และหากพิจารณาผลสำรวจผู้จัดการกองทุนอิงบทวิเคราะห์ BofA Fund Manager Survey ประจำเดือน ต.ค. 2025 บ่งชี้ว่าผู้จัดการกองทุนมีความกังวลต่อภาวะฟองสบู่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีสูง (AI equity bubble) เพิ่มขึ้นที่ 33% เทียบกับเดือนก่อนที่ 11% อย่างไรก็ตามหากอิงการศึกษาของบริษัทหลักทรัพย์ชั้นนำของโลกทั้ง Goldman Sachs Securities, JPMorgan Securities, Citigroup และ International Research House ชั้นนำทั่วโลกต่างๆ ซึ่งทำการศึกษาและให้ความเห็นผ่านบทวิเคราะห์เชิงเปรียบเทียบเกี่ยวกับหุ้นเทคโนโลยีปัจจุบันและวิกฤติฟองสบู่ในอดีต.. โดยรวมนักวิเคราะห์มีมุมมองว่าหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ ในปัจจุบันยังไม่ได้เข้าสู่ภาวะฟองสบู่และมีเหตุผลสนับสนุนที่สำคัญ คือ 

การสร้างกระแสเงินสด (Free Cash Flow) ของบริษัทใหญ่ ยังคงแข็งแกร่งแตกต่างจากในภาวะฟองสบู่ดอทคอมปี 1999 ที่บริษัทส่วนใหญ่ขาดกระแสเงินสดที่มั่นคงและผลประกอบการไม่ดี

· บริษัทขนาดใหญ่มีการซื้อหุ้นคืน (Share Buyback) และจ่ายเงินปันผล ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ไม่พบในยุคฟองสบู่ดอทคอม

· การประเมินมูลค่าของบริษัท (ระดับของ P/E Ratio) ต่ำกว่าในยุคฟองสบู่ดอทคอม

Pine Wealth Solution มีมุมมองที่สอดคล้องกับความคิดเห็นของบริษัทหลักทรัพย์ชั้นนำของโลกสำหรับข้อโต้แย้งของหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ โดยเรายังมองว่าหุ้นเทคโนโลยี-AI สหรัฐฯ ยังไม่เข้าสู่ภาวะฟองสบู่ และเราได้ศึกษาข้อมูลรวมถึงตั้งข้อสังเกตุเพิ่มเติมดังนี้ 1. การปรับตัวขึ้นของหุ้นสหรัฐฯ ตลอดช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาซึ่งนำโดยบริษัทขนาดใหญ่สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานหรือไม่ 2. สัดส่วนกำไรของหุ้นขนาดใหญ่เทียบกับกำไรรวมของทั้งดัชนีเพิ่มขึ้นหรือไม่? 3. อัตราการเติบโตโดยเฉลี่ย (CAGR) ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ หลังโควิด 19 (2022-2024) กับคาดการณ์การเติบโตกำไรในอนาคตเป็นอย่างไร?

จาก Chart ด้านบนเปรียบเทียบระหว่าง Valuation ของดัชนี S&P 500 อิง P/E Ratio กับอัตราส่วนกำไรของบริษัท Top 50 กับกำไรรวมของดัชนี S&P 500 จะพบว่านับตั้งแต่ปี 2021 จนถึงสิ้นงวดไตรมาสที่ 3 ปี 2025 อัตราส่วนกำไรบริษัทขนาดใหญ่กลุ่ม Top 50 Market Cap. ต่อกำไรของทั้งตลาดเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 57% เทียบกับ 1Q21 ที่ระดับ 47% ซึ่งถือเป็นการเพิ่มขึ้นที่มีนัยสำคัญ (ส่วนช่วง Pre-Covid: 1Q19 อัตราส่วนนี้อยู่ที่ 43%) ดังนั้นเราจึงมองว่าการเพิ่มขึ้นของราคาหุ้นขนาดใหญ่สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐาน และหากเปรียบเทียบกับอัตรากำไรเฉลี่ยปี 2022-2024 (3 Year CAGR: Actual) ของดัชนี S&P 500 อยู่ที่ 12.55% ส่วนคาดการณ์อัตรากำไรเฉลี่ยปี 2025-2027E (3 Year CAGR: Estimate) อยู่ที่ 14.90% อิงข้อมูลจาก Bloomberg Consensus ณ วันที่ 5 พ.ย. 2025 และคาดการณ์การเติบโตของกำไร YoY ในช่วงปีดังกล่าวอยู่ในระดับ Double Digit ต่อเนื่อง

ปัจจัยพื้นฐานการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนที่แข็งแกร่งซึ่งได้ปัจจัยบวกจากความเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของเทคโนโลยี (Structural shift in technology) และการลงทุนครั้งใหญ่ด้าน AI-โครงสร้างพื้นฐาน ทำให้การเติบโตของบริษัทจดทะเบียนสหรัฐฯ มีความโดดเด่นเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นอื่นๆ ดังนั้นตลาดหุ้นสหรัฐฯ ซึ่งเป็น Market Capitalization Weight จึงได้รับอิทธิพลจากการปรับตัวขึ้นของราคาหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและบริษัทขนาดใหญ่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ 

สำหรับมุมมองเราประเด็นดังกล่าวถือว่าเป็น “ความปกติใหม่” ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ และตลาดหุ้นอีกหลายๆ แห่งทั่วโลกที่มีโครงสร้างคล้ายกัน อย่างไรก็ตามบนระดับ Valuation ที่ไม่ถูกทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีความอ่อนไหวต่อปัจจัยลบต่างๆ ที่เข้ามาในระยะสั้น ดังนั้นการลงทุนหุ้นสหรัฐฯ ในปัจจุบันควรลงทุนแบบทยอยซื้อ (Accumulated Buy) เพื่อเฉลี่ยต้นทุนท่ามกลางความผันผวน โดยเรายังคงมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยรวมและยังเห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องใช้หุ้นสหรัฐฯ เป็นแกนหลักของพอร์ตการลงทุนไปอย่างน้อย 6-12 เดือนจากนี้เพื่อรับประโยชน์จากขาขึ้นของตลาดหุ้นในช่วงเวลาดังกล่าว 

 

ที่มา..  https://www.bangkokbiznews.com/blogs/finance/stock/1206716

 


JomFolk