ห้องเม่าปีกเหล็ก

‘หนี้สาธารณะไทย’ ในแผนการคลังความเสี่ยงเศรษฐกิจ’ ที่ต้องเฝ้าระวัง

โดย eye
เผยแพร่ :
34 views

‘หนี้สาธารณะไทย’ ในแผนการคลังระยะปานกลาง ‘ความเสี่ยงเศรษฐกิจ’ ที่ต้องเฝ้าระวัง เมื่อหนี้ใกล้ชนเพดาน

 

  • แผนการคลังระยะปานกลาง (พ.ศ. 2569-2573) คาดการณ์ว่าหนี้สาธารณะต่อจีดีพีจะยังคงอยู่ในระดับสูง โดยจะสูงสุดที่ 69.78% ในปีงบประมาณ 2571 ซึ่งใกล้เคียงเพดานหนี้ที่ 70% และถือเป็นความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ
  • รัฐบาลยังคงจัดทำงบประมาณแบบขาดดุล แต่มีเป้าหมายลดขนาดการขาดดุลลงอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างเสถียรภาพทางการคลัง โดยตั้งเป้าให้ขาดดุลไม่เกิน 3% ของจีดีพีภายในปี 2573
  • มีการออกมาตรการเสริมสร้างวินัยการคลังให้เข้มงวดขึ้น เช่น การบริหารหนี้เชิงรุก การควบคุมการใช้จ่ายกึ่งการคลังตามมาตรา 28 และการตั้งเป้าชำระคืนต้นเงินกู้ที่ชัดเจน
  • รัฐบาลมีแผนเพิ่มรายได้และลดรายจ่าย พร้อมทั้งส่งเสริมการลงทุนผ่านช่องทางอื่น เช่น กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (TFF) และการร่วมลงทุนรัฐ-เอกชน (PPP) เพื่อไม่ให้กระทบภาระหนี้สาธารณะ

 

แผนการคลังระยะปานกลาง พ.ศ.2569 – 2573 ซึ่งเพิ่งผ่านความเห็นชอบของที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) และใช้เป็นกรอบในการจัดทำงบประมาณรายจ่ายปี 2570 วงเงินงบประมาณ 3.788 ล้านล้านบาท โดยเป็นงบประมาณแบบขาดดุล 7.88 แสนล้านบาท ถือเป็นการปรับปรุงแผนการคลังระยะปานกลางฉบับเดิม โดยมีสาระสำคัญในการสร้างเสถียรภาพทางการคลัง ลดการขาดดุลงบประมาณ ในภาวะที่เศรษฐกิจของประเทศยังคงเชิญกับความท้าทายและระดับหนี้สาธารณะของไทยยังอยู่ใรระดับใกล้เคียงกับเพดานที่กำหนดไว้ไม่ให้เกิน 70% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี)

สำหรับ รายละเอียดของแผนการคลังระยะปานกลาง 2569- 2573 ตามที่ ครม.เห็นชอบ ยังคงเป็นการจัดทำงบประมาณแบบขาดดุล และยังคงมีระดับหนี้สาธารณะที่สูงใกล้กับเพดาน 70% ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องเฝ้าระวัง

ทั้งนี้จากการตรวจสอบข้อมูลของ “กรุงเทพธุรกิจ” จากเอกสารกรอบการคลังระยะปานกลางฉบับล่าสุดที่ ครม.เห็นชอบพบว่ามีรายละเอียดดังนี้

1. ปีงบประมาณ 2569 กรอบงบประมาณรายจ่าย 3,780,600 ล้านบาท เป็นงบประมาณขาดดุล 8.6 แสนล้านบาท คิดเป็นการขาดดุลทางการคลัง 4.4% ของจีดีพี โดยมีหนี้สาธารณะคงค้างคิดเป็น 68.17% ต่อจีดีพี   

2. ปีงบประมาณ 2570 กรอบงบประมาณรายจ่าย 3.788 ล้านล้านบาท เป็นงบประมาณขาดดุล 7.8 แสนล้านบาท คิดเป็นการขาดดุลทางการคลัง 3.9% ของจีดีพี โดยมีหนี้สาธารณะคงค้างคิดเป็น 69.36% ต่อจีดีพี

3. ปีงบประมาณ 2571 กรอบงบประมาณรายจ่าย 3.826 ล้านล้านบาท เป็นงบประมาณขาดดุล 6.81 แสนล้านบาท คิดเป็นการขาดดุลทางการคลัง 3.3% ของจีดีพี โดยมีหนี้สาธารณะคงค้างคิดเป็น 69.78% ต่อจีดีพี

 

4. ปีงบประมาณ 2572 กรอบงบประมาณรายจ่าย 3.864 ล้านล้านบาท เป็นงบประมาณขาดดุล 5.9 แสนล้านบาท คิดเป็นการขาดดุลทางการคลัง 3.9% ของจีดีพี โดยมีหนี้สาธารณะคงค้างคิดเป็น 69.52% ต่อจีดีพี

5. ปีงบประมาณ 2573 กรอบงบประมาณรายจ่าย 3.903 ล้านล้านบาท เป็นงบประมาณขาดดุล 4.81 แสนล้านบาท คิดเป็นการขาดดุลทางการคลัง 2.1% ของจีดีพี โดยมีหนี้สาธารณะคงค้างคิดเป็น 68.22% ต่อจีดีพี

ด้านนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่ากรอบการคลังระยะปานกลาง (MTFF) เป็นหนึ่งในรากฐานของนโยบาย Quick Big Win ซึ่งเน้นสร้างความมั่นคงทางการคลัง โดยหน่วยงานเศรษฐกิจตกลงกำหนดกฎการคลังให้เข้มงวดขึ้น เช่น การตั้งงบกลางไม่เกิน 3% ของงบประมาณรายจ่ายจากเดิมที่ให้กรอบค่อนข้างกว้าง

ตั้งเป้าลดขาดดุลงบฯเหลือ 3% 

ส่วนเป้าหมายงบประมาณสมดุล นายเอกนิติ ระบุว่า การจัดทำงบสมดุลหรือการขาดดุลได้ตั้งเป้าหมายให้ขาดดุลไม่เกิน 3% ของ จีดีพีภายในปี 2572 ลดลงมากจากปีก่อนที่ขาดดุลเพิ่มถึง 4.4% ส่วนระดับหนี้สาธารณะต่อจีดีพียืนยันไม่เกินกรอบความยั่งยืนการคลังที่กำหนดไม่เกิน 70% ของจีดีพี

ขณะที่งบประมาณการใช้หนี้กำหนดให้ตั้งงบใช้หนี้ไม่ต่ำกว่า 4% ของงบประมาณรายจ่าย ขณะที่งบประมาณผูกพันแต่ละปีงบประมาณตั้งไว้สูงสุดไม่เกิน 5% 

 

คุมเข้มการใช้เงินกึ่งการคลังตามมาตรา 28

ส่วนการใช้นโยบายทางการคลังจากมาตรการที่เป็นนโยบายกึ่งการคลัง (มาตรา 28) ในแผนการคลังระยะปานกลาง รัฐบาลต้องการตอบข้อห่วงใยเกี่ยวกับการใช้มาตรา 28 ของ พ.ร.บ.วินัยการคลัง ดังนั้นจะทำกระบวนการภายในให้ชัดเจน จากเดิมต่างคนต่างขอ

โดย ครม.มอบให้คณะกรรมการนโยบายการคลัง, ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ และปลัดกระทรวงการคลัง หารือแนวทางให้ชัดเจนซึ่งจะมีรายละเอียดเพิ่มขึ้น นอกเหนือจากกฎเดิมที่กำหนดว่าปีหนึ่งไม่ให้เกิน 32% ของงบประมาณรายจ่ายประจำ และนายกฯ เป็นผู้อนุมัติคนสุดท้ายก่อนนำเข้า ครม.โดยเลี่ยงไม่ให้ใช้งบให้เปล่าที่ไม่เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตภาคเกษตร”

นอกจากนี้การเพิ่มรายได้และการลดรายจ่าย มอบให้กระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณ จัดทำโครงสร้างการเพิ่มรายได้และลดรายจ่าย โดยมีเป้าหมายรายได้รวมในแผนเพิ่มรายได้ไม่ต่ำกว่า 15.1% ของจีดีพี (ปัจจุบันอยู่ที่ 14.8%) ขณะที่รายจ่ายรัฐบาลมีแผนลดรายจ่ายให้อยู่ที่ 18% จากปัจจุบัน 19%  เศษ

ทั้งนี้ รัฐบาลให้ความสำคัญการลงทุนต่อเนื่อง โดยไม่เพิ่มภาระหนี้สาธารณะแม้ว่างบประมาณส่วนกลางจะลดลง แต่รัฐบาลจะใช้เงินผ่านช่องทางอื่นเพื่อเพิ่มงบลงทุนแบบไม่เพิ่มภาระหนี้สาธารณะ ได้แก่ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตแห่งประเทศไทย (TFF) กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน และการร่วมมือระหว่างภาครัฐกับเอกชน (PPP)

เปิดข้อเสนอบริหารหนี้สาธารณะเชิงรุก

แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐได้ทำความเห็นถึง ครม.เกี่ยวกับกรอบการคลังระยะปานกลางฉบับล่าสุด โดยในส่วนของการควบคุมระดับหนี้สาธารณะควดำเนินการโดย

1.การบริหารหนี้ในเชิงรุก โดยปรับกลยุทธ์การระดมทุนให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและตลาดการเงินทั้งในและต่างประเทศ โดยมีการประเมินสถานการณ์ล่วงหน้า เพื่อลดผลกระทบด้านต้นทุนและความเสี่ยง จากความผันผวนของอัตราดอกเบี้ยโลกและพิจารณาการปรับโครงสร้างหนี้ของรัฐบาล

2.การรักษาวินัยในการชำระหนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยโดยควรจัดสรรงบชำระต้นเงินกู้ให้เหมาะสม สอดคล้องกับหนี้ที่ครบกำหนดชำระ และจัดสรรรายจ่ายชำระดอกเบี้ยให้มีความยึดหยุ่นเพื่อรองรับความผันผวนของอัตราดอกเบี้ย

และ 3.การประเมินความสามารถในการชำระหนี้ จากภาระดอกเบี้ยในแต่ละปิงบประมาณต่อประมาณการรายได้ประจำปิ้งบประมาณ ณ สิ้นปีงบประมาณ2568 อยู่ที่ 10.2% ซึ่งยังยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี โดยปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นจากความต้องการกู้เงินที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องเพื่อดำเนินนโยบายการคลังในช่วงที่ผ่านมา การปรับกฎเกณฑ์ทางการคลัง (Fiscal Rules) เพื่อเพิ่มวินัยทางการคลังโดยให้มีการทบทวนสัดส่วนวินัยการคลังตามมาตรา 11 (4) ได้แก่ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณี ฉุกเฉินหรือจำเป็น งบชำระคืนต้นเงินกู้ และการก่อหนี้ผูกพันเกินกว่า/นอกเหนือจากฎหมายงประมาณเพื่อเป็นการส่งสัญญาณต่อสาธารณะถึงเจตนารมณ์ในการรักษาวินัยที่เข้มงวดขึ้นของรัฐ

ส่วนการกำหนดแนวทางกำกับการดำเนินการตามมาตรการกึ่งการคลังตามมาตรแห่ง พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังฯ โดยเสนอขอความเห็นชอบคณะรัฐมนตรีกำหนดแนวทางในการพิจารณา

อนุมัติโครงการตามมาตรา 28 ให้อยู่ภายใต้กรอบ 32% ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี โดยให้หน่วยงานของรัฐทุกแห่งหลีกเลี่ยงการอนุมัติโครงการในลักษณะเงินอุดหนุนแบบให้เปล่าที่ไม่ก่อให้เกิด

การปรับตัวเพื่อยกระดับผลิตภาพการผลิตของภาคการเกษตร ทั้งนี้ ในการเสนอโครงการต่อคณะรัฐมนตรี

หน่วยงานของรัฐที่เป็นเจ้าของโครงการจะต้องได้รับความเห็นชอบโครงการจากนายกรัฐมนตรีก่อนโดยหน่วยงานของรัฐนั้นจะต้องส่งรายละเอียดของโครงการให้กระทรวงการคลังพิจารณาให้ความเห็น และเสนอต่อนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป

จากแนวทางการเสริมสร้างความเข้มแข็งทางการคลังทั้ง 3 ด้านดังกล่าว นำไปสู่การกำหนดเป้าหมายการขาดดุลการคลังให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมและเอื้อต่อการเพิ่มพื้นที่ทางการคลัง (Fiscal Space) โดยปรับลดขนาดการขาดดุลการคลังให้อยู่ในระดับไม่เกินร้อยละ3% ภายในปี 2573  

เพื่อเป็นกรอบการดำเนินงานด้านการคลังของรัฐบาล อันจะนำไปสู่การฟื้นฟูสภาพทางการคลังของประเทศให้กลับสู่สภาวะที่แข็งแกร่งและยั่งยืนในอนาคต

 

 

ที่มา..  https://www.bangkokbiznews.com/business/economic/1208676

 


eye