‘BJC’ทรานส์ฟอร์มธุรกิจ เขย่ากลุ่มอุปโภคบริโภค
“บีเจซี” เปิดแผนทรานส์ฟอร์มธุรกิจกลุ่มอุปโภคบริโภค ซินเนอร์ยีกลุ่มฟู้ด-นอนฟู้ดทั้งในและนอกเครือ ตั้งทีมขายมืออาชีพเจาะกลุ่มฟู้ด เซอร์วิส เพิ่มช่องทางขายผ่านอี-คอมเมิร์ซ เตรียมปั้นมาร์เก็ตเพลสเอง คาดครึ่งปีหลังกำลังไร้สัญญาณบวก หลังกำลังซื้อซบ ปัจจัยลบเพียบ
ปัจจัยลบรอบด้านที่ถาโถมเข้ามา ไม่ว่าจะเป็นเงินบาทที่แข็งค่าที่ส่งผลต่อภาคการส่งออกและการท่องเที่ยว เศรษฐกิจโลก รวมถึงภัยแล้งที่เกิดขึ้น ตอกยํ้าทำให้การบริโภคในประเทศซบเซาต่อเนื่อง นับจากต้นปีที่เกิดการชะลอตัวและส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค หรือ Fast Moving Consumer Goods (FMCG) แม้จะมีรัฐบาลใหม่เข้ามาแต่ยังไร้สัญญาณที่จะผลักดันให้เศรษฐกิจกลับมาเติบโตในครึ่งปีหลัง ทำให้ธุรกิจต้องลุกขึ้นมาสร้างเกราะป้องกันตัวเอง และสร้างฐานธุรกิจให้แข็งแกร่งในกลุ่มสินค้ามีโอกาส
นายตุลย์ วงศ์ศุภสวัสดิ์ ผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ บีเจซี เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ปี 2563 เป็นปีแห่งการทรานส์ฟอร์มธุรกิจในกลุ่มสินค้าและบริการอุปโภคบริโภคของบีเจซี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการสร้างแบรนด์ที่มีอยู่ให้เป็นที่รู้จักของผู้บริโภคมากขึ้น กล่าวคือจะมีการเพิ่มพอร์ตสินค้าในกลุ่มฟู้ด เซอร์วิส ที่ไม่ใช่แค่เพียงสินค้าที่เป็นฟู้ดในเครือบริษัท แต่
BJC ยังมีแผนกฟู้ด อินกรีเดี้ยน ทั้งกลุ่มแป้งทำเค้ก, เฟเวอร์ ฯลฯ โดยจะเน้นขยายตลาดไปยังช่องทางฟู้ด เซอร์วิส เพื่อเพิ่มโอกาสทางการขายจากในอดีตที่ไม่ได้มีการเจาะช่องทางฟู้ด เซอร์วิสผ่านทีมขายอย่างจริงจัง และในอนาคตจะจัดตั้งทีมฟู้ดเซอร์วิสขึ้นมาเพื่อรุกสร้างและขายแบรนด์สินค้าโดยรวม
ทั้งนี้การรุกตลาดฟู้ด เซอร์วิสจะเริ่มต้นด้วยการนำแบรนด์โกโก้ดัทช์ ช้อยส์ มาปรับทัพและทำการตลาดเชิงรุกเจาะเข้าทั้งร้านกาแฟ เค้ก เบเกอรี่ คาเฟ่ ร้านอาหาร โรงแรม เป็นต้น พร้อมกับการนำสินค้าแบรนด์ต่างๆในเครือมาจัดพอร์ตเพื่อรุกช่องทางดังกล่าวโดยตรงมากยิ่งขึ้นผ่านทีมขายใหม่
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันอยู่ระหว่างจัดหมวดหมู่สินค้าใหม่ อาทิ ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดภายใต้แบรนด์ bjc hygienist ที่ประกอบไปด้วยทิชชู นํ้ายาทำความสะอาด ฯลฯ จากเดิมที่มีตัวแทนจำหน่ายเฉพาะ Non Food แต่บริษัทจะเพิ่มสินค้าดังกล่าว รวมถึงสินค้าในกลุ่มอุปโภคบริโภค เข้าไปในหน่วยขายทีมฟู้ดด้วยเพื่อเจาะเข้ากลุ่มโรงแรม ร้านอาหาร ครัวกลางของแต่ละสถานประกอบการ เพื่อสร้างโอกาสทางการขายให้แบรนด์ในเครือเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งในการเจาะช่องทางดังกล่าวจำเป็นต้องมีการจัดตั้งหน่วยขึ้นมาเพื่อดูแลตรงนี้โดยเฉพาะ
“ปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นกลุ่ม Food หรือ Non Food จะมีช่องว่างตรงกลางอยู่เสมอที่ต้องการสินค้าทั้ง 2 กลุ่ม กล่าวคือจะมีสินค้าที่ต้องการใช้ร่วมกันไม่ว่าจะเป็นธุรกิจอาหาร เครื่องดื่ม หรือโรงงาน นั่นคือ ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด นํ้ายาล้างจาน กระดาษทิชชู่ ฯลฯ ซึ่งตรงนี้เองที่เราจะรวบรวมมาไว้ด้วยกันเพื่อเพิ่มโอกาสทางการขายเพราะเป็นสินค้าที่จำเป็นที่หน่วยต้องใช้”
พร้อมกันนี้ยังมีแผนการเปิดตัวช่องทางอี-คอมเมิร์ซ หรือ มาร์เก็ตเพลส เป็นของตัวเองเพื่อรองรับการแข่งขันในตลาด FMCG โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการตั้งทีมที่เชี่ยวชาญในการทำงานด้านออนไลน์ ควบคู่กับการมองหาสินค้าที่ต้องแตกต่างกันบ้างระหว่างสินค้าที่จำหน่ายในรีเทลกับออนไลน์ เพื่อกระตุ้นให้ลูกค้าสนใจอี-คอมเมิร์ซของบริษัท ที่แตกต่างจากสินค้าที่วางขายในรีเทลทั่วไป จากปัจจุบันที่ออนไลน์ของบีเจซียังไม่มากนัก มีสัดส่วนราว 1-2% ของยอดขายเท่านั้น และเป็นการขายออนไลน์ร่วมกับมาร์เก็ตเพลสอื่นๆ อย่างไรก็ดีมองว่า 3-5 ปีนับจากนี้ ตลาด FMCG จะให้ความสำคัญกับช่องทางรีเทลแพลตฟอร์มออฟไลน์เป็นหลัก
“การบริหารพอร์ตที่มีสินค้าหลากหลายมีข้อได้เปรียบคือการซินเนอร์ยีกันระหว่างสินค้าในเครือที่สามารถเอาสินค้าทั้ง Food และ Non Food ขายพร้อมกันได้ รวมถึงการมีข้อได้เปรียบเรื่องโลจิสติกส์ที่สามารถไปด้วยกันได้ เพื่อสร้างการเติบโตของสินค้าแต่ละแบรนด์ให้เติบโตควบคู่กันไป แต่ท้ายที่สุดความท้าทายคือการจัดทราฟฟิกของแต่ละแบรนด์ ในเรื่องกิจกรรมทางการตลาดที่ต้องหลีกกันหรือไปด้วยกัน”
นายตุลย์ กล่าวอีกว่า ในครึ่งปีหลังบริษัทมีแผนปรับทัพกลุ่ม FMCG ด้วยการหาสินค้าที่ตอบสนองในกลุ่มเป้าหมายที่ได้รับผลกระทบน้อยเพื่อสร้างการจับจ่ายให้มากขึ้น หรือมองหาสินค้าที่เจาะกลุ่มตลาดพรีเมียมที่กำลังซื้อยังดีอยู่ แต่ไม่ใช่การทิ้งตลาดแมส หากแต่เป็นการปรับชั่วคราวเพื่อรองรับกำลังซื้อที่ขึ้นลงตามสภาวะเศรษฐกิจ เนื่องจากฐานลูกค้าส่วนใหญ่ของบริษัทยังคงอยู่ในตลาดแมส
โดยในส่วนของตลาดแมสยังคงมีการสร้างมูฟเมนต์ ให้ตลาดอยู่ และยังคงมีการทำการตลาดเพื่อให้ผู้บริโภคนึกถึงอยู่ตลอดเวลา ทั้งการเปิดตัวสบู่นกแก้วกลิ่นใหม่ ทานาคา สบู่เหลวไฮนารูรอน พลัส ไมเซร่า โดยในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมาภาพรวมตลาดมีการเติบโตราว 4-5% เทียบเท่ากับการเติบโตในช่วงครึ่งปีแรกของบีเจซี และคาดการณ์ว่าทั้งปีกลุ่มฟู้ดของเครือจะเติบโตราว 4-5% มากกว่าการเติบโตของตลาดรวม โดยมี 3 กลุ่มหลักที่มีการเติบโตมากที่สุดแก่ 1.สแน็ก เติบโต 12% 2.เพอร์ซัลนัลแคร์ อาทิ สบู่ ของใช้ส่วนตัว เติบโต 5% 3. เครื่องดื่มและกระดาษทิชชู่ เติบโต 2-3%
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก