อย่าเพิ่งคัทลอส! เปิดเบื้องลึก "Global Selloff" รอบนี้ เจ้ามือเทขายหรือแค่เขย่าเอาของ?
สวัสดีค่ะทุกคน กลับมาพบกันอีกแล้วนะคะ วันนี้เห็นกระดานหุ้นแดงเดือดกันทั่วโลก หลายคนคงเริ่มใจสั่นกันแล้วใช่ไหมคะ?
แต่อย่าเพิ่งตกใจจนเทขายล้างพอร์ตกันไปหมดนะ เพราะถ้าเรามานั่งวิเคราะห์ข้อมูลกันลึกๆ แบบที่นักลงทุนสถาบันเขามองกันจริงๆ แล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้อาจจะไม่ใช่ "หายนะ" อย่างที่กลัวกัน แต่มันคือกระบวนการที่เรียกว่า "Risk Reduction" หรือการลดความเสี่ยงลงบ้างตามความเหมาะสมนั่นเองค่ะ
เดี๋ยววันนี้จะมาเล่าให้ฟังแบบละเอียด เจาะลึกทุกประเด็น ให้เห็นภาพชัดๆ ว่าทำไมตลาดถึงลง และทำไมข้อมูลบางอย่างถึงกำลังบอกเราว่า "โอกาส" อาจจะรออยู่ค่ะ

เริ่มจากภาพรวมตลาดโลกกันก่อนเลยนะคะ ช่วงนี้เราเห็นแรงเทขายออกมาจากทุกสารทิศ ซึ่งถ้าจะให้พูดกันตามตรง ตลาดมักจะหา "สตอรี่" หรือเรื่องราวมาอธิบายการลงเสมอ ไม่ว่าจะเป็นข่าวสงคราม ข่าวเศรษฐกิจ แต่สาเหตุเบื้องลึกจริงๆ ที่ทำให้ตลาดลงแรงรอบนี้ มันเป็นเรื่องพื้นฐานมากๆ ที่เรียกว่า "Overbought" หรือภาวะที่มีการซื้อมากเกินไปจนราคามันตึงเกินไปนั่นเองค่ะ ลองจินตนาการเหมือนคนกินบุฟเฟต์จนจุก ก็ต้องหยุดพักบ้าง ตลาดหุ้นก็เหมือนกันค่ะ
ถ้าเราดูข้อมูลจากดัชนี RSI (Relative Strength Index) ซึ่งเป็นตัวชี้วัดโมเมนตัมของราคาในช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา เราจะเห็นชัดเจนเลยว่า ตลาดหุ้นญี่ปุ่น (Nikkei) และตลาดหุ้นเกาหลีใต้ (Kospi) คือสองตลาดที่มีอาการ Overbought หนักที่สุด และผลลัพธ์ก็คือ ทั้งสองตลาดนี้เจอแรงเทขายออกมาหนักที่สุดเช่นกัน
โดยเฉพาะญี่ปุ่นที่มีประเด็นเรื่องความขัดแย้งทางการทูตกับจีนเรื่องไต้หวันเข้ามาผสมโรงด้วย ซึ่งจริงๆ แล้วเรื่องการเมืองอาจจะเป็นแค่ "ข้ออ้าง" ให้คนหาจังหวะขายทำกำไรเสียมากกว่า เพราะราคามันขึ้นมาสูงเกินไปแล้ว ถ้าเรื่องวุ่นวายเงียบลง นี่อาจจะเป็นโอกาสในการเข้าซื้อรอบใหม่ก็ได้นะคะ
ข้ามมาฝั่งอเมริกาบ้าง ดัชนี Nasdaq ที่รวมหุ้นเทคโนโลยีตัวท็อปๆ เอาไว้ ก็มีสัญญาณของการซื้อมากเกินไปเช่นกัน การที่ดัชนีปรับตัวลงมาประมาณ 5% จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไรเลยค่ะ
ส่วนหนึ่งมาจากความกังวลในกลุ่มหุ้น AI ที่นักลงทุนเริ่มตั้งคำถามกันหนาหูขึ้นว่า "ราคาแพงเกินไปหรือเปล่า?" หรือ "เราลงทุนในระบบประมวลผล (Compute) กันมากเกินความจำเป็นไหม?" รวมถึงเรื่องอายุการใช้งานของชิป GPU ว่าจะใช้ได้นานคุ้มค่าจริงหรือไม่ ความกังวลเหล่านี้เป็นเหตุผลที่ดีที่ทำให้นักลงทุนสถาบันเลือกลดความเสี่ยง (Shave some risk) ออกไปบ้าง
แต่จุดที่น่าสนใจมากๆ จนอยากให้ขีดเส้นใต้เอาไว้เลยก็คือ "การเทขายครั้งนี้ ไม่ใช่การเทขายแบบไม่เลือกหน้า" (Indiscriminate Selloff) ค่ะ สังเกตได้จากตลาดหุ้นบราซิล (Bovespa) และอินเดีย (Sensex) ที่แม้จะมีสัญญาณ Overbought เหมือนกัน แต่ราคากลับไม่ร่วงลงแรงเหมือนตลาดอื่น
นี่คือสัญญาณสำคัญที่บอกว่า นักลงทุนไม่ได้ตื่นตระหนกจนขายทุกอย่างทิ้ง แต่พวกเขายังคงมองเห็นโอกาสเติบโต (Upside) ในหุ้นกลุ่มตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) บางประเทศอยู่นั่นเองค่ะ
ทีนี้มาคุยเรื่อง "ความถูก-แพง" หรือ Valuation กันบ้างค่ะ ถ้าดูจากกราฟ P/E Ratio (ราคาหุ้นเทียบกับกำไร) สหรัฐอเมริกายังคงครองแชมป์ตลาดที่ "แพงที่สุด" อยู่ ซึ่งตรงนี้แหละคือจุดเปราะบาง ถ้าสมมติว่าฟองสบู่ AI เกิดแตกหรือมีรอยร้าวขึ้นมาจริงๆ ตลาดสหรัฐฯ จะมีพื้นที่ให้ร่วงลงได้อีกเยอะมาก ในขณะที่อินเดียเองก็ดูแพงในมุมมองนี้ แต่พื้นฐานระยะยาวของอินเดียยังแข็งแกร่งมาก ส่วนบราซิลถือว่าราคาค่อนข้างถูก และญี่ปุ่นเองถ้าเคลียร์ปัญหาการเมืองกับจีนได้ ก็ยังมีพื้นที่ให้ราคาหุ้นวิ่งขึ้นได้อีกเยอะก่อนที่จะเรียกว่าแพงจนน่ากังวล
อย่างไรก็ตาม แม้การขายรอบนี้จะดูเหมือนเป็นการปรับฐานธรรมดา แต่เราก็ประมาทไม่ได้นะคะ เพราะการขายแบบ "ลดความเสี่ยง" บางทีก็อาจจะลุกลามกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้ ซึ่งจุดตัดสินจะอยู่ที่ "กลุ่มคนซื้อเมื่อย่อ" (Dip Buyers) ว่าจะกล้าเข้ามารับของไหม
แต่เดี๋ยวก่อนค่ะ! ท่ามกลางความกลัว มันมีสัญญาณบางอย่างที่เรียกว่า "Contrarian Signal" หรือสัญญาณสวนกระแสที่น่าสนใจมากๆ โผล่ขึ้นมาค่ะ ลองนึกภาพตามนะคะ ในขณะที่นักลงทุนมืออาชีพเริ่มถือเงินสดเพิ่มขึ้น ซึ่งปกติจะเป็นสัญญาณขาย แต่ในฝั่งของ "นักลงทุนรายย่อย" ความรู้สึก (Sentiment) ตอนนี้เริ่มเย็นลงจนเข้าเขตที่น่าสนใจแล้ว
จากข้อมูลการสำรวจความเชื่อมั่นของนักลงทุนรายย่อยโดย AAII (American Association of Individual Investors) พบว่าสัดส่วนระหว่างคนมองขึ้นต่อคนมองลง (Bull/Bear Ratio) ร่วงลงมาอยู่ที่ระดับ 0.64 แล้วค่ะ
ตัวเลขนี้สำคัญยังไง? มันแปลว่าคนส่วนใหญ่เริ่มกลัวและมองตลาดแย่ ซึ่งในอดีต ระดับความกลัวประมาณนี้มักจะเป็นจุดกลับตัวของตลาดค่ะ ตั้งแต่ปี 1990 เป็นต้นมา มีเพียง 17 ครั้งเท่านั้นที่สัดส่วนนี้ลดลงต่ำขนาดนี้ และสถิติบอกว่า หลังจากนั้น 3 เดือน ผลตอบแทนของดัชนี S&P 500 จะเป็นบวกเฉลี่ยอยู่ที่ 5.5% เลยทีเดียว! มีแค่ 3 ครั้งเท่านั้นที่สถิตินี้พลาด คือช่วงวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ปี 2008 (2 ครั้ง) และปี 2022
แม้ว่าดัชนี S&P 500 จะลงมาจากจุดสูงสุดแค่ประมาณ 3% ซึ่งดูเหมือนน้อย (ไม่รวมเมื่อคืนนะ) แต่ถ้าเราไปดูไส้ในจริงๆ จะเห็นว่าสินทรัพย์เสี่ยงอื่นๆ เจ็บหนักกว่านั้นเยอะค่ะ เช่น Bitcoin ที่ร่วงลงไปถึง 27% จากจุดสูงสุด หรือหุ้นกลุ่ม AI ที่ทาง UBS จัดทำตะกร้าหุ้นไว้ ก็เริ่มเข้าสู่โหมดปรับฐาน (Correction) แล้ว แม้แต่ดัชนีหุ้นโมเมนตัมผันผวนสูง (High Beta Momentum Long Index) ของ Goldman Sachs ก็ยังลบไปถึง 15% จนตอนนี้ดัชนี Fear & Greed ของ CNN ชี้ไปที่ระดับ "กลัวสุดขีด" (Extreme Fear) แล้วค่ะ
สรุปง่ายๆ คือ แม้เสียงเตือนเรื่องฟองสบู่ AI จะดังขึ้นเรื่อยๆ และความฮือฮา (Hype) อาจจะเริ่มจางลง แต่พื้นฐานทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ยังคงมีความยืดหยุ่น กำไรของบริษัทเทคโนโลยียังเติบโตแข็งแกร่ง และยังมีแรงหนุนจากการซื้อหุ้นคืน (Buybacks) ของบริษัทต่างๆ ปัจจัยเหล่านี้ยังคงเป็นฐานที่ช่วยพยุงตลาดไว้ได้ค่ะ
การที่ตลาด "เขย่า" เอาความมองโลกในแง่ดีที่มากเกินไปออกเสียบ้าง (Shakeout) อาจจะเป็นเรื่องดีที่ทำให้ตลาดเดินหน้าต่อได้อย่างมั่นคงขึ้นก็ได้ค่ะ
ดังนั้น ช่วงเวลานี้อาจจะไม่ใช่เวลาของการตื่นตระหนก แต่เป็นเวลาของการจับตาดูข้อมูลอย่างใกล้ชิด และมองหาโอกาสในขณะที่คนอื่นกำลังกลัวนะคะ
ปล. ตลาดร่วงทั้งโลกนะ แต่ทำไมข่าวลงกันแต่ AI Bubble
ที่มา.. Beauty Investor