ห้องเม่าปีกเหล็ก

TOP กับ 3 ปัจจัยบวก

โดย 98 Degree
เผยแพร่ :
65 views

TOP กับ 3 ปัจจัยบวก ผลงานปี 64 พลิกกำไร

บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP กับการกลับมาสู่เข้ายุคสภาวะปกติของธุรกิจโรงกลั่น หลังจากดีมานด์ความต้องการใช้น้ำมันเริ่มกลับปกติ เพราะจากเหตุการณ์ระบาดของโควิด ทำให้หลายประเทศล็อคดาวน์ การสัญจรกิจกรรมทางเศรษฐกิจต้องชะลอ แต่เมื่อค้นพบวัคซีนแล้วจึงเป็นแสงสว่างส่องนำทางให้ TOP จะกลับเข้าสู่วัฏจักรเดิมได้หรือไม่?

 

ในฐานะที่บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP เป็นผู้นำธุรกิจโรงกลั่นหลักสำคัญของเครือ ปตท.ได้รับผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโควิด 19 เพราะกิจการการเดินทางระหว่างประเทศที่ลดลงส่งผลให้ความต้องการใช้น้ำมันทั่วโลกลดลง ส่งผลให้ยอดขายส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจน้ำมันเช่นเบนซีน ดีเซล และน้ำมันเครื่องบินลดลง เพราะราคาน้ำมันที่ลดลงส่งผลให้ค่าการกลั่น (Gross Refinery Margins) ซึ่งถือเป็นหัวใจของธุรกิจการกลั่นลดลงถึงขั้นติดลบ

ขณะเดียวกัน TOP ยังมีธุรกิจปิโตรเคมีที่เป็นอีกหนึ่งหัวใจที่ค่อยช่วยสนับสนุนผลประกอบการกลับต้องได้รับผลกระทบพ่วงท้ายไปด้วย เนื่องจากความต้องการใช้สินค้าประเภทพาราไซลีน ที่นำไปผลิตเป็นเส้นใยโพลิเอสเตอร์ (Polyester Fiber) หรือ เส้นใยสังเคราะห์เพื่อนำไปผลิตเป็นเสื้อผ้า กระเป๋าผ้า และนำไปผลิตเป็นขวดนํ้ามันดื่มต้องลดต่ำลงไปด้วยเพราะจากการ Lock Down ของหลายๆประเทศทำให้ห่วงโซ่ความต้องการใช้สินค้าประเภทนี้ลดหายไป ดังนั้นจึงบอกได้ว่าธุรกิจของ TOP เองได้รับผลกระทบทั้งขึ้นทั้งร่องจากการระบาดของไวรัสโควิด

ทั้งนี้หากย้อนกลับไปดูผลประกอบการของ TOP ในงวด 9 เดือนจะเห็นได้ว่ามีการขาดทุนจากสต็อกน้ำมันอย่างน่าใจหาย ขณะที่กำไรก่อนหักดอกเบี้ยภาษีและค่าเสื่อม (EBITDA) เองก็ติดลบกว่า 5,549 ล้านบาท โดยคำอธิบายงบการเงินระบุว่า TOP มีรายได้จากการขายลดลง 82,668 ล้านบาท สาเหตุหลักจากราคาขายผลิตภัณฑ์และปริมาณขายผลิตภัณฑ์รวมที่ปรับลดลงจากผลกระทบของสงครามราคาน้ำมันและการระบาดของไวรัสโควิด-19 ทั้งนี้ จากส่วนต่างราคาน้ำมันสำเร็จรูปที่อ่อนตัวลง โดยเฉพาะส่วนต่างราคาน้ำมันอากาศยาน/น้ำมันก๊าด และน้ำมันดีเซล และยังมีผลขาดทุนจากสต๊อกน้ำมัน 9,190 ล้านบาท ซึ่งส่งผลให้ TOP รายงานกำไรสุทธิงวด 9 เดือนมีผลขาดทุนกว่า 10,559 ล้านบาท

ดังนั้นจึงเกิดเป็นคำถามขึ้นมาว่าแล้วในปี 64 TOP จะกลับมาเติบโตได้อย่างไรผลประกอบการจะออกมาในทิศทางไหน ด้วยสภาพแวดล้อมเศรษฐกิจที่ยังเป็นเช่นนี้ทาง Wealthy Thai ได้เรียบเรียงข้อมูลปัจจัยที่จะช่วยสนับสนุนให้ TOP ผลงานจะกลับมาเติบโตเหมือนในช่วง 2-3ปีให้หลัง ที่มีรายได้เฉลี่ย 3 แสนกว่าล้านบาท และมีกำไรสุทธิประมาณ 10,000-20,000ล้านบาท สาเหตุหลักที่จะทำให้ผลประกอบการของ TOP ปรับเพิ่มขึ้น โดยหลักแล้วราคาน้ำมันจะต้องอยู่ในระดับสูง และส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์น้ำมันจะเพิ่มขึ้น และจะทำให้ค่าการกลั่น(กำไรของธุรกิจโรงกลั่น) ดีขึ้น และส่งผ่านไปยังธุรกิจปิโตรเคมีให้ส่วนต่างราคาของผลิตภัณฑ์ฟื้นตัวขึ้น หรือเรียกง่ายว่ามีกำไรจากการขายสินค้ามากขึ้น

โดยนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด ฉายภาพให้เห็นว่า สิ่งที่ TOP จะกลับมาเติบโตในปี 64 หลักคาดว่ากำไรสุทธิของ TOP ในปี 2564 จะฟื้นตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญมาอยู่ที่ 8.5 พันล้านบาท จากที่คาดว่าจะขาดทุนสุทธิ 4.3 พันล้านบาทในปี 2563 เนื่องจากจะมีกำไรจากสต็อกน้ำมันและฐานค่าการกลั่นที่สูงขึ้น เราคาดว่าจะมีกำไรจากสต็อกน้ำมัน 2.6 พันล้านบาทในปีหน้า จากขาดทุนจากสต็อกน้ำมันถึง 8.1 พันล้านบาทในปีนี้ เนื่องจากคาดว่าราคาน้ำมันดิบดูไบจะเพิ่มขึ้นเป็น 53 หรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากที่ในปี 63 อยู่ที่ 42 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล

นอกจากนี้ ยังคาดว่าค่าการกลั่นจะเพิ่มเป็น 3.3 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากที่ในปี 63 ติดลบ 0.3 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เนื่องจาก spread ของน้ำมันเบนซิน, น้ำมันเครื่องบิน และน้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้นเป็น 9 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล 6เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และ 12 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับเพราะอุปสงค์เพิ่มขึ้นจากสถานการณ์ COVID-19 ที่คลี่คลายลงไปจากการนำวัคซีนมาใช้ในวงกว้างในปีหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุปสงค์น้ำมันเครื่องบิน ที่คาดว่าจะฟื้นตัวขึ้นประมาณ 1.3 ล้านบาร์เรลต่อวัน อุปสงค์การเดินทางทางอากาศทั่วโลกจะโตถึง 50% ในปี 64 เหรียญสหรัฐต่อตัน

นอกจากนี้ ยังคาดว่าส่วนต่างราคาผลิต (spread) ของพาราไซลีนจะเพิ่มขึ้น 20%จากปีก่อน เป็น 206 เหรียญสหรัฐต่อตันและ spread ของ BZ จะฟื้นตัวขึ้น 17% จากปีก่อน เป็น 96 เหรียญสหรัฐต่อตันเนื่องจากอุปทานพาราไซลีน ใหม่ในปี 2564 จะอยู่ที่แค่ 2.5ล้านตัน จากที่มีอุทานใหม่ถึง 7.8ล้านตัน ในปี 63

ดังนั้นปรับเพิ่มราคาเป้าหมายปี 64 เป็น 61 บาท จากเดิมที่ 52.00 บาท อิงจาก EV/EBITDA ที่เพิ่มขึ้นจาก 6.5x เป็น 7.0x เพื่อสะท้อนถึงการปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 2564 นอกจากนี้ ยังคาดว่าผลประกอบการในไตรมาส 4จะดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากจะมีกำไรพิเศษ 5.6 พันล้านบาท จากการขายหุ้น 8.91% ใน Global Power Synergy Public (GPSC.BK/GPSC TB)* ดังนั้นจึงยังคงคำแนะนำซื้อ TOP และเพิ่ม TOP เข้ามาในรายการหุ้นเด่นของเราในกลุ่มพลังงานสำหรับปี 2564 เนื่องจากเรามีมุมมองเป็นบวกกับแนวโน้มของตลาดโรงกลั่น

 

ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก


98 Degree