‘วิกฤติอสังหาฯจีน’ ระส่ำรอบใหม่ โบรกเตือน ‘เสี่ยงสูง’ แนะหุ้นเทคฯ
By อัญชลี สบายสุข |
- วิกฤติอสังหาริมทรัพย์จีนกลับมาสร้างความกังวลอีกครั้ง หลัง China Vanke ผู้พัฒนารายใหญ่ส่งสัญญาณอาจ "เลื่อนชำระหนี้หุ้นกู้" จุดชนวนความกลัวว่าปัญหาอาจลุกลามเหมือนกรณี Evergrande
- นักวิเคราะห์จาก บล.กสิกรไทย เตือนว่าสถานการณ์ตลาดอสังหาฯ จีนยังคง "เปราะบาง" และมี "ความเสี่ยงเพิ่มขึ้น" จากตลาดบ้านที่ซบเซาต่อเนื่องและราคาบ้านที่ลดลงอย่างรุนแรง แม้รัฐบาลจะออกมาตรการกระตุ้นแล้วก็ตาม
- โบรกเกอร์แนะนำกลยุทธ์การลงทุนให้หลีกเลี่ยงหุ้นกลุ่มอสังหาฯ และหันไปลงทุนใน "หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี" ของจีนแทน โดยเฉพาะกลุ่มที่ขับเคลื่อนด้วย AI ซึ่งมีแนวโน้มเติบโตได้ดีโดยไม่พึ่งพาภาคอสังหาฯ
- นอกจากหุ้นเทคฯ ยังมีการแนะนำให้ลงทุนในหุ้นกลุ่มบริโภคขนาดใหญ่ เช่น อาลีบาบา ซึ่งคาดว่าจะได้รับประโยชน์หากรัฐบาลจีนหันไปกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศเพื่อพยุงเศรษฐกิจ
- สำหรับผลกระทบต่อหุ้นไทย นักวิเคราะห์เตือนให้ระมัดระวังกลุ่มปิโตรเคมีที่เกี่ยวข้องกับจีน ซึ่งยังคงมีความเสี่ยงจากสถานการณ์ดังกล่าว
“วิกฤติอสังหาริมทรัพย์จีน” กลับมาสะเทือนตลาดอีกครั้ง หลัง China Vanke ผู้พัฒนาอสังหาฯ รายใหญ่ส่งสัญญาณ “เลื่อนชำระหนี้หุ้นกู้” มูลค่า 2 พันล้านหยวน จุดชนวนความหวั่นเกรงว่าปัญหาอาจลุกลามซ้ำรอย Evergrande และ Country Garden หรือไม่...ท่ามกลางความพยายามของรัฐบาลจีนที่ยังไม่อาจคลายความกังวลของนักลงทุนได้ ส่งผลขยายแรงกดดันต่อหุ้นอสังหาฯ จีน

“วิศกรณ์ คีรีวรรณ” , CFA นักกลยุทธ์การลงทุน บล.กสิกรไทย ให้สัมภาษณ์กับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า ภาพรวมตลาดหุ้นและอสังหาฯ จีนล่าสุด สถานการณ์ยังคง “เปราะบาง” และมี “ความเสี่ยงเพิ่มขึ้น” หลังราคาหุ้นของ China Vanke ปรับตัวร่วงกว่า 30% ในวันที่ 1 ธ.ค. 2568 และราคาหุ้นถูกกดดันมาอย่างต่อเนื่องจากรอบก่อนด้วยเช่นกัน
จากการประเมินอาจไม่ส่งผลเชิงระบบเทียบเท่าบริษัทขนาดใหญ่ อย่าง Evergrande แต่บรรยากาศความกังวลยังคงปกคลุมตลาดอย่างหนัก เนื่องจากตลาดบ้านจีนยังซบเซาต่อเนื่อง ทั้งปริมาณการขายบ้านใหม่ที่ลดลง และราคาที่ติดลบหลายปีติดต่อกัน โดยราคาบ้านเฉลี่ยลดลงประมาณ 10% ต่อปี ต่อเนื่องมา 3 ปี รวมแล้วปรับลดลงราว 30-40% ขณะที่ เดือนต.ค. 2568 ที่ผ่านมา ราคาบ้านใหม่หดตัวเกือบ 14% YoY ส่งผลกระทบต่อความมั่งคั่งของคนจีนอย่างรุนแรง เนื่องจากกว่า 50% ของทรัพย์สินครัวเรือน ทำให้ความมั่งคั่งของประชาชนจีนโดยเฉลี่ยหายไปราว 10% ต่อปี โดยไม่รวมสินทรัพย์หุ้น ฉุดที่ให้ Wealth Effect ให้อ่อนแรงลงอย่างชัดเจน
แม้รัฐบาลจีนจะปรับมาตรการกู้บ้านเพื่อกระตุ้นดีมานด์ โดยยกเลิกข้อจำกัดระหว่างบ้านหลังแรกและหลังที่สอง แต่ยอดสินเชื่อบ้านล่าสุดกลับทำสถิติ “ต่ำสุดใหม่” สะท้อนตลาดยังไม่ตอบรับมาตรการอย่างที่คาด และการฟื้นตัวตลาดบ้านจีนยังคงยากและใช้เวลานาน
“ธนพงศ์ เจริญวัฒนกิจ” ผู้ช่วยผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์การลงทุน บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า ปัญหาครั้งนี้ไม่น่าจะรุนแรงเท่ากับรอบก่อน จากปัจจัยที่สนับสนุนหลายประการ ได้แก่ ความมั่งคั่งของประชาชนไม่ได้กระจุกตัวในอสังหาฯ รวมถึงการกำกับดูแลภาคอสังหาฯ มีความเข้มข้นและต่อเนื่อง ซึ่งรัฐบาลจีนไม่ได้เน้นการกระตุ้นอสังหาฯ เหมือนเดิม แต่หันไปสนับสนุนภาคการบริโภคภายในประเทศ ขณะที่พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนประชาชนหันมาใส่เงินใน “ตลาดหุ้น” มากขึ้นในปีนี้
สำหรับ กลยุทธ์ลงทุนแนะเน้นกลุ่มบริโภคบริษัทขนาดใหญ่ เช่น อาลีบาบา น่าจะไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากวิกฤติอสังหาฯ ซึ่งหากปัญหาอสังหาฯ เริ่มส่งผลต่อ GDP ทางการจีนมีแนวโน้มที่จะกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ ทำให้กลุ่มบริโภคได้ประโยชน์ ขณะที่กลุ่มเทคโนโลยีเป็นกลุ่มที่สามารถเติบโตได้โดยไม่พึ่งพาภาคอสังหาฯ และยังมีแนวโน้มดีในปีนี้
ส่วนหุ้นไทยที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์จีน โดยเฉพาะกลุ่มปิโตรเคมียังคงต้องระมัดระวัง ซึ่งราคาหุ้นได้ปรับตัวลงมาก่อนหน้าแล้ว และมีแนวโน้มตอบรับปัจจัยลบแล้ว และหากปลายปีนี้รัฐบาลจีนออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ หุ้นกลุ่มปิโตรเคมีก็มีโอกาสฟื้นตัว
“กรรณ์ หทัยศรัทธา” หัวหน้านักกลยุทธ์การลงทุนและนักเศรษฐศาสตร์สายงานวิจัย บล.ซีจีเอส-อินเตอร์เนชันแนล (ประเทศไทย) กล่าวว่า ภาคอสังหาฯ ของจีนอยู่ในสถานการณ์ Anti-Involution หรือการล้นเกินของตลาด แต่ชนชั้นกลางของจีนยังคงถือครองรายได้และทรัพย์สินอย่างมาก แม้ว่าจะมีพฤติกรรมเก็บออมเงินในปริมาณสูงและชะลอการใช้จ่าย ทำให้ความเสี่ยงในระยะสั้นยังคงอยู่
ทั้งนี้ การออมเงินที่สูงของคนจีน ส่งผลให้บริษัทอสังหาฯ อาจเลื่อนการชำระหนี้หุ้นกู้หรือผิดนัดชำระ ซึ่งหากเงินออมดังกล่าวหากถูกนำออกมาใช้ในอีก 3-5 ปีข้างหน้า ความต้องการอสังหาฯ น่าจะฟื้นตัว
สำหรับผลกระทบต่อหุ้นไทย โดยเฉพาะกลุ่มกลุ่มปิโตรเคมียังต้องระวัง แม้ราคาหุ้นได้รับแรงกดดัน แม้มาตรการ Anti-Involution ของจีนจะลดกำลังการผลิต แต่ผลกระทบต่อสเปรดของปิโตรเคมียังไม่ชัดเจน เนื่องจากการลดกำลังการผลิตยังไม่มากพอ ดังนั้น มาตรการดังกล่าวช่วยเพียงระยะสั้นต่อราคาหุ้น
อย่างไรก็ตาม คำแนะนำในการลงทุน นักลงทุนควรหันไปลงทุนยังหุ้นเทคโนโลยีจีน ใน H-Share ที่ขับเคลื่อนด้วย AI เนื่องจากหุ้นเทคโนโลยีมีแนวโน้มปรับตัวดี คล้ายกับกลุ่ม 7 นางฟ้าของสหรัฐแทนหุ้นอสังหาฯ หรืออุตสาหกรรมเก่า
ที่มา.. https://www.bangkokbiznews.com/finance/stock/1210133