ช่วงนี้ตลาดหุ้นจีน Hot มาก ในฐานะที่ลงทุนในหุ้นจีนมานานมากๆ (ผ่านกองทุนรวม) เลยอยากจะบอกเล่าประสบการณ์ ข้อคิดเห็น และประสบการณ์การไปลงทุนต่างประเทศแบบซื้อขายเอง สักหน่อยครับ
.
#หุ้นจีน
จริงๆคนไทยสามารถไปลงทุนได้ต้ังนานแล้วผ่านกองทุนรวมที่เป็นลักษณะ Feeder Fund คือเอาเงินเราไปซื้อกองทุนที่ลงทุนในประเทศนั้นๆอีกทีหนึ่ง จะมีแค่ Master Fund กองเดียว อย่างส่วนตัว ลงใน K-China ไปถือใน Fidelity China Focus Fund ที่ลงทุนในหุ้น Value มีปันผลค่อนข้างดี เช่น China Mobile, CNOOC (คล้ายๆ ปตท.สผ) ,Petro China, SINOPEC(คล้ายๆ ปตท.เคมีคอล) หุ้นกลุ่มแบงก์, China Life Insurance
.
การเจาะลึกเราต้องเข้าไปที่เว็บไซด์ของ Fidelity เพื่อโหลดรายงานประจำปีมานั่งอ่านดู จะได้รู้ว่ากองทุนเขาถือหุ้นอะไรบ้าง แต่ส่วนใหญ่คนมักจะดูหุ้น 10 อันดับแรกที่กองทุนถือมากสุดซึ่งไม่ใช่เรื่องผิดอะไร เพียงแต่ถ้าเราอยากจะเข้าใจให้มากขึ้น ก็ต้องดูว่าไปลงทุนหุ้นอะไรบ้าง รวมๆมีอยู่ประมาณ 50-70 ตัว จะรู้จักแค่บางตัวที่เป็นตัวใหญ่ๆ P/E ก็อยู่ราวๆ 5-6 เท่า ถือว่าถุกมากๆ ปันผลดีสุดๆ 6-7% แต่ตอนนั้นหุ้นจีนไม่ค่อยมีใครสนใจนะ P/E อยู่ราวๆ 7-8 เท่า รายย่อยเยอะ ซื้อๆขายๆ ไม่ค่อยมีนักลงทุนสถาบัน เพราะหุ้นจีนเข้ายาก จะต้องได้รับการรับรองจากรัฐบาลจีนเท่านั้นถึงจะเข้าไปลงทุนได้ การควบคุมค่อนข้างเข้มงวด รายงานประจำปีไม่มีภาษาอังกฤษ มีแต่ภาษาจีนซึ่งอาจจะเป็นอุปสรรคทางด้านภาษา (แต่หุ้นบางตัวมี listed ที่ฮ่องกง ก็จะมีพิมพ์ภาษาอังกฤษ)
พอร์ตหุ้นของ Fidelity China FocusFund มีหุ้น Value อยู่ค่อนข้างมาก ผลตอบแทนของปี 2020 เลยไม่โดดเด่น
ที่มาภาพ : www.fidelity.lu
จำได้ว่าตอนซื้อใหม่ๆเป็นช่วงปลายของประธานาธิบดีหูจินเทา น่าจะปลายๆปี 2555 ตอนนั้นรัฐบาลจีนลงทุนโครงสร้างพื้นฐานอย่างหนัก ทั้ง 3G ถนน ทางรถไฟ สนามบิน แบบว่าเปิดประเทศเต็มที่ เติบโตเป็นเลขสองหลักมาหลายปีติดต่อกัน
พอหูจินเทาลงจากอำนาจ กลายมาเป็นประธานาธิบดีสีจินผิง ก็ยังโตต่ออีก จำได้ว่าดัชนี Shanghai Composite Index วิ่งจาก 2000 จุด ไป 5000 จุด ภายในปีเดียว ถือว่ารุนแรงมาก ต่างชาติยกย่องว่าจีนจะโตแบบนี้เป็น Double Digit เป็นสวรรค์ของนักลงทุน (Investment Heaven) ต่อไปอีก 5-6 ปี
แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เป็นไปตามคาดหวัง เพราะจีนใหญ่มาหลายปี เหมือนฐานของเขาใหญ่ขึ้น จะให้โตสองหลักก็ไม่ไหว คร่าวนี้เหลือหลักเดียว หุ้นเลยตกหนักมาก มาอยู่ราวๆ 2500 จุด
... ถ้าใครติดตามข่าวเศรษฐกิจ จะคุ้นๆคำว่า Hard Landing นั้นก็มีที่มาจากเศรษฐกิจจีนโตมากแล้วอยู่ดีๆโตช้าลงอย่างรวดเร็ว เหมือนเครื่องบินที่บินสูงอยู่ดีๆก็ตกลงมากระแทกพื้นอย่างแรง อะไรแบบนั้น
สิ่งที่ยังหลงเหลืออยู่ในหุ้นจีน คือ การปันผลดี
หุ้นจีนหลายๆตัวปันผลดีมาก แต่อย่าพูดถึงราคาหุ้นผันผวนมาก เพราะจริงๆแล้วพื้นฐานหุ้นจีนไม่ได้แย่ เพียงแค่มีรายย่อยเยอะไปหน่อย ไม่ค่อยมีนักลงทุนสถาบัน หุ้นเลยไม่ค่อยเสถียร สู้ตลาดหุ้นฮ่องกง(ฮั่งเส้ง) ไม่ได้ มีสถาบันเยอะ กองทุนจำนวนมาก ค่อนข้างเสถียรกว่า
.
.
จริงๆประวัติศาสตร์ก็บอกไว้เสมอว่าประเทศไหนที่ไม่ค่อยมีนักลงทุนสถาบัน แต่มีรายย่อยอยู่เยอะ ตลาดหุ้นจะผันผวนแรง คือถ้าขึ้นก็คือขึ้นได้แรง แต่ถ้าลงก็คือหมดมูลค่า คนเลิกเล่น พร้อมขายทุกสิ่งทุกอย่าง
... ตลาดหุ้นไทยก็เป็นแบบนั้น
แต่พัฒนาการของหุ้นไทยดีขึ้น มีสถาบัน มีกองทุนเข้ามาซื้อ LTF-RMF
ตอนนี้มี SSF ดังนั้นคิดว่าหุ้นไทยจะไป 3-4 พันจุด ก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรเพราะกองทุนไทยมีเงินเพิ่มขึ้นทุกปี ใหญ่ขึ้นทุกปี ก็เอามาลงหุ้นหมด บริษัทจดทะเบียนปันผลมหาศาล คนก็เอาบางส่วนมาซื้อหุ้น ตลาดเราก็จะค่อยๆใหญ่ขึ้น พูดง่ายๆคือหุ้นไทยจะเป็นขาขึ้นในระยะยาว บางทีอาจจะไม่ใช่แค่หุ้นไทย หุ้นทั่วโลกก็เป็นแบบนี้ คือขึ้นได้ในระยะยาว เพียงแต่เราจะมองยาวได้มากแค่ไหน
.
เอาจริงๆคนไทยเป็นชนชั้นกลางมากขึ้น รวยมากขึ้น ช่วงนี้ความมั่งคั่งของคนรุ่นเบบี้บูม กำลังส่งต่อให้คนเจน X และ Y ต่อไปคนเจน X และ Y ก็จะส่งต่อให้เจน Z และ Alpha ... คือมันก็เป็นแบบนี้อยู่แล้วในโลกของทุนนิยม ความมั่งคั่งถูกส่งต่อ
.
กลับมาที่หุ้นจีนต่อ ช่วงนี้หุ้นจีนเป็นกระแส ก็งงๆอยู่เหมือนกันจากคนที่ลงทุนในจีนมานาน น่าจะมาจากประเด็นเรื่อง หุ้นเทคโนโลยี เริ่มจากอเมริกาและมาจีน อะไรที่เป็น Technology นักลงทุนพร้อมซื้อ พร้อมให้มูลค่าแพง แต่จริงๆแล้วหุ้นเหล่านี้ยังไม่ได้สร้างผลกำไรให้นักลงทุน
ดังนั้นบริษัทเหล่านี้ต้ังอยู่บนความไม่มีเสถียรภาพอย่างมาก หมายความว่า ถ้าวันใดวันหนึ่งมันสร้างความผิดหวังให้กับนักลงทุน คือ โปรเจคล้มเหลว รถไฟฟ้าไม่ได้ดีอย่างที่คาด พลังงานสะอาดไม่มา หุ้นเหล่านี้ก็พร้อมโดนเทขายหนักๆไปเลย กลับสู่พื้นฐานที่ควรจะเป็น
ตัวอย่างเช่น Alibaba หุ้นนี้เป็นหุ้นที่ดีนะ มีธุรกิจครบวงจรดี ตั้งแต่ขายปลีก ขายส่ง Aliexpress, เทาเป่า, อาลีปาปา1688 มีห้างค้าปลีกเป็นของตัวเอง มีบริษัทขนส่งของตัวเอง Cainiao อย่างของไทยก็มี Lazada เป็นเบอร์ 1 ของไทย คือมันดูดี คนคาดหวังมันสูงมาก จะโตได้ 2 หลักตลอดไป (ในความเป็นจริงมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว)
เมื่อนั้นหุ้นก็พร้อมตก ... นี้แหละตลาดหุ้น
ก็อย่างที่เบน เกรเฮม กล่าวไว้ ในระยะสั้นตลาดหุ้นคือเครื่องโหวตลงคะแนน แต่ระยะยาวแล้วมันคือเครื่องช่างน้ำหนัก
.
ปีที่แล้วกองทุนที่ไปลงทุนจีนผลตอบแทนดีมาก ยกเว้น K-China ที่ยังเน้นถือหุ้นที่เป็น Value เป็น Old Economy เลยมีการสับเปลี่ยนกองทุน Master Fund จาก Fidelity มาเป็น JP Morgan ซึ่งลองเข้าไปเช็คดุปรากฏว่าเป็นหุ้นสายเทคที่ราคาขึ้นไปสูงแล้ว ถ้าคิดตามหลักเหตุผลมันก็อาจจะจริง เพราะเทคโนโลยี AI, BigData กำลังเปลี่ยนโลก มันก็ควรจะต้องลงทุน แต่ส่วนตัวรู้สึกว่าอะไรที่ขึ้นไปเยอะๆแล้ว เราไปซื้อตามแบบนี้มักจะให้ผลลัพธ์ออกมาไม่ดีเท่าไร ก็เลยคิดว่าไปลงทุนเองดีกว่า เลือกหุ้นเอง
ส่วนกองทุนที่ถือก็ถือต่อ เพราะ K-CHINA ก็ผลการดำเนินดีมาโดยตลอด โต 3-4% ปันผลอีก 2-3% รวมๆก็ได้ปีละ 6-7% ถือมาหลายปีแล้วก็ได้หลายแล้วเหมือนกัน
.
พอได้ศึกษาเองก็ต้องเลือกว่าจะไปลงทุนที่ไหน คิดว่า ฮ่องกง ดูน่าสนใจ ก็เลยตัดสินใจไปลงทุนที่ฮ่องกง .. ?
.
... อ่าว ไม่ใช่เวียดนามเหรอ ใครๆก็ไป หุ้นถูกๆ
หุ้นเวียดนามน่าสนใจจริง แต่เวียดนามผ่านสงครามเย็นที่พึ่งจะเปิดเป็นทุนนิยม อยู่ในช่วงโตเร็ว(มาก) อาจจะต้องผ่านวิกฤตเศรษฐกิจแบบหนักๆก่อน เรียกว่า ต้องให้เวลาเวียดนามมีวิวัฒนาการระดับหนึ่ง เหมือนของไทยสมัยก่อน มีวิกฤตราชาเงินทุน (สถาบันการเงินปล่อยกู้มาซื้อหุ้นตัวเอง สุดท้ายเจ๊ง) วิกฤตเจ้าพ่อตลาดหุ้น ยุคมนุษย์ทองคำ ยุคเปิดประเทศของชาติชาย (เสือตัวที่ 5 แห่งเอเชีย ... ตอนนี้ไม่รู้เราเป็นเสือตัวที่เท่าไรแล้ว) วิกฤตต้มยำกุ้ง- ค่าเงินบาทปี 40 คือเราผ่านวิกฤตมาเยอะกว่าจะมีทุกวันนี้ คิดว่าเวียดนามก็น่าจะเป็นแบบเรา มีวิวัฒนาการของทุนนิยม
.
การศึกษาตลาดหุ้นฮ่องกง เป็นอะไรที่ยากพอสมควร เราจะเสียภาษียังไง เสียที่ฮ่องกงเท่าไร แล้วนำเข้ามาเมืองไทยต้องเสียภาษีไหม อัตราแลกเปลี่ยนผันผวนมากแค่ไหน วัฒนธรรมของเขาก็ไม่เหมือนกับของเรา อย่างเช่นหุ้นบ้านเราให้คุณค่ากับหุ้นค้าปลีกมาก เซเว่น เบอร์ลี่ยุคเกอร์ บิวตี้บุฟเฟต์ ไรงี้ P/E 20-30 เท่า แต่บ้านเขา ค้าปลีกเช่น SASA หรือ Bonjour ที่ผู้หญิงชอบไปซื้อของในนั้น เขาแทบจะไม่ให้คุณค่าเลย หรือร้าน Circle K นี้ไม่เป็นที่รู้จักเลย
หรือแม้แต่หุ้นโรงแรม ของเรา เซ็นทาร่า กลุ่มไมเนอร์ นี้ P/E 30 เท่า แต่ของเขาเช่น SAND China เจ้าของเดอะเวเนเชี่ยนมาเก๊าที่คนไทยชอบไปต่อรถ มีรถบัสให้นั่งฟรี หรือ หุ้นคาสิโน Galaxy Entertainment นี้คือนิ่งเลย ไม่ค่อยเป็นที่สนใจ
หุ้นร้าน bonjour ที่ฮ่องกง ร้านขายเครื่องสำอางค์ น้ำหอม ที่นักท่องเที่ยวชอบเข้าไปช๊อปปิ้ง
ตลาดฮ่องกง มีหุ้นจีนไปจดทะเบียน เรียกว่า H-Share มีเยอะเช่น Alibaba, Tencent, Xiaomi, จิ่งตง (JD.com) คือพูดไปใครๆก็รู้จัก แต่หุ้นพุ่งไปแล้ว 200-300% ธุรกิจมันดี แต่ราคามันแพงไปแล้ว
ก็จะมีที่เข้าตาหน่อยๆ เช่น Lenovo แต่ดูชาร์ตราคาหุ้นแล้ว โห้!! +150% จาก 4 เหรียญ ไป 9 เหรียญ
.
โห้เขียนยาวเหมือนกัน ถ้าว่างจะมาเขียนต่อ
หุ้นตัวแรกในฮ่องกงกับค่าธรรมเนียมที่แพงมาก ..