อัพแวลลู "5 หุ้นไฟฟ้า" หลังกวาดประมูลรอบใหม่
ท่ามกลางตลาดหุ้นไทยเข้าโหมดซบเซาจากภาวะการซื้อขายที่ลดลงด้วยวันหยุดยาวทำให้แทบจะไร้ปัจจัยหนุน ยกเว้นหุ้นโรงไฟฟ้าที่ ได้ผู้ชนะประมูลรอบใหม่ล่าสุดรอบปรับมุมมองการลงทุนในช่วงที่เหลือของปี
บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)หยวนต้า (ประเทศไทย) กกพ. ประกาศผลการคัดเลือกโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนเมื่อวันที่ 5 เม.ย 2566 ที่ผ่านมา กกพ. ได้มีการประกาศผลการคัดเลือกโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนรอบ 5,203MW และโรงไฟฟ้าขยะอุตสาหกรรม 100MW
โครงการที่ได้รับคัดเลือกสามารถแบ่งออกเป็น 1. โรงไฟฟ้าพลังงานลมจำนวน 22 โครงการ (ขนาด SPP 20 โครงการและขนาด VSPP2 โครงการ กำลังผลิตรวม 1,490.2MW 2.โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่มีระบบกักเก็บพลังงานจำนวน 24 โครงการ (เป็นขนาด SPP ทั้งหมด) กำลังผลิตรวม 994.1MW
3.โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินจำนวน 129 โครงการ (ขนาด SPP 39 โครงการขนาด VSPP 90โครงการ) กำลังผลิตรวม 2,368MW และ 4.โรงไฟฟ้าขยะอุตสาหกรรมจำนวน 13 โครงการ (ขนาด VSPP ทั้งหมด) กำลังผลิตรวม 100MW
โดย กฟผ. จะมีการแจ้งให้ผู้ยื่นเสนอขายไฟฟ้ารับทราบผลและยอมรับเงื่อนไขเพื่อลงนามในสัญญาPPA ภายในวันที่ 19 เม.ย. 2566 ในลำดับถัดไป (ขั้นตอนสุดท้ายของการรับซื้อไฟฟ้ารอบปัจจุบัน)
จากการตรวจสอบเบื้องต้นบริษัทในกลุ่มโรงไฟฟ้าภายใต้ Coverage ที่ได้ "กำลังผลิตเพิ่มจากการรับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนรอบ" ดังกล่าวมากที่สุดคือ GULF ซึ่งได้รับกำลังผลิต 1,623.9MW (โครงการลม 622.0 MW , โครงการแสงอาทิตย์ที่มีระบบกักเก็บพลังงาน 700.2 MW และโครงการแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน301.7MW)
ตามมาด้วย GUNKUL ซึ่งได้รับกำลังผลิต 832.4MW (โครงการลม 180MW, โครงการแสงอาทิตย์ที่มีระบบกักเก็บพลังงาน 83.6MWและโครงการแสงอาทิตย์ 568.8MW)
ส่วนโรงไฟฟ้าขนาดกลาง-เล็กที่ได้รับกำลังผลิตเพิ่มอย่างมีนัยสำคัญได้แก่ SSP ซึ่งได้รับกำลังผลิจำนวน 170.5MW (โครงการลม 16MW, โครงการแสงอาทิตย์ 154.5MW) และในส่วนของโรงไฟฟ้าขยะอุตสาหกรรมผู้ที่ได้รับกำลังผลิตมากที่สุดคือ ETCซึ่งได้รับคัดเลือกจำนวน 80MW (ได้รับคัดเลือกทั้ง 10 โครงการที่มีการเสนอขาย)
โดยในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าภายใต้ Coverage ได้มีการปรับตัวขึ้นเฉลี่ย+0.9% เคลื่อนไหวได้ดีกว่า SET Indexที่ปรับตัวลง -2.9% จากแรงเก็งกำไรผลการคัดเลือกโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน ทำให้ในช่วงสั้นมีจะเกิดแรงขายสำหรับหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าหลังประเด็นดังกล่าวมีความชัดเจน (Sell on Fact)
อย่างไรก็ตามในระยะกลาง หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้ายังมีโอกาสที่จะเคลื่อนไหวได้ดีกว่าตลาด เนื่องจาก 1.Recession Fear และอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond Yield) ระยะ 10 ปี ในไทยและสหรัฐที่ปรับตัวลงจะส่งผลให้เกิดการ Re-rate PER ของกลุ่มโรงไฟฟ้า(เป็นแหล่งพักเงินในช่วงที่ตลาดมีความผันผวน)
และ 2. แรงเก็งกำไรในประเด็นของการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนและขยะอุตสาหกรรมเพิ่มอีก 3,668.5MW (มติกพช. 9 มี.ค. 2566) โดยมีโอกาสสูงที่จะไม่มีการเปิดรับสมัครเพิ่มเติมและใช้รายชื่อเดิมในการคัดเลือก (คาด Timeline ของการรับซื้อจะมีความชัดเจนมากขึ้น)
ดังนั้นคงน้ำหนักการลงทุนในกลุ่มโรงไฟฟ้า “มากกว่าตลาด” ให้ GULF ([email protected]) และSSP ([email protected]) เป็นTop Picks
สำหรับการลงทุนในประเด็นของการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน โดย GULF ที่ได้รับกำลังผลิตเพิ่มมากที่สุด (มี Upside จากกำลังผลิตใหม่ราว 1.50-2.00 บาท/หุ้น)
รวมถึงมีกำไรและฐานทุนที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มฯ ขณะที่ SSP ได้รับกำลังผลิตใหม่ราว 73% เทียบกับกำลังผลิตที่มีอยู่เดิม คิดเป็น
Upside ราว 1.80-2.00 บาท/หุ้น (ไม่รวม Price Dilution จากหุ้นปันผลราว 9%) ทำให้หุ้นมีโอกาสฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง
บล.กรุงศรี พัฒนสิน มอง Positive sentiment ต่อผลการประมูลโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนรอบ1ที่กลุ่มโรงไฟฟ้าที่ศึกษาส่วนใหญ่เป็น ผู้ผ่านการคัดเลือกโดยมีGULF และGUNKUL ได้โครงการมากที่สุดตามลำดับ ตามคาดสำหรับการเปิดประมูลรอบ2ยังไม่กำหนดวันชัดเจนคาดจะอยู่ในช่วงครึ่งปีหลัง 2566 หลังผ่านช่วงเลือกตั้งไปแล้ว
ทั้งนี้ยังคงมุมมองปี 2566 เป็นปีที่กลุ่มโรงไฟฟ้ามีปัจจัยบวกเข้ามาต่อเนื่อง ทั้งปัจจัยแนวโน้มกำไรปกติ 2566 ที่ฟื้นตัวตั้งแต่ไตรมาส 1/2566 นำโดยกลุ่มโรงไฟฟ้าที่ขายไฟฟ้าให้ลูกค้าอุตสาหกรรม(IU) ที่ GPM ฟื้นได้ประโยชน์จาก ft ที่เพิ่มขึ้นจากปีก่อนและต้นทุนก๊าซฯที่ลดลงจากปีก่อน
คงเป้าหมายราคา GPSC ปี2566 ที่ 84.00 บาท เด่นสุดและเป็น top pick รวมทั้งกำลังการผลิตเพิ่มต่อเนื่องตามการCOD โครงการในมือ และการรับรู้โครงการที่เพิ่งM&A และupside จากโครงการระหว่างเจรจา
หุ้น GULF คาดกำไร 2566 ที่ 1.7หมื่นล้านบาท(+51%y-y)จากทั้งโรงไฟฟ้าใหม่ (COD + M&A), การปรับขึ้น Ft ช่วยอัตรากำไร และต้นทุนก๊าซทยอยลดลง ขณะที่ระยะกลางยาวสดใส จากแผน COD ต่อเนื่องใน 5ปีข้างหน้า (2023-2027)ทำให้ Equity MW เพิ่มขึ้น46% เป็น 8,600 MW(จากปี 2565ที่5,900 MW)
ราคาหุ้น Valuation ซื้อขายบน PER 2566 ที่ 35 เท่า และมี dividen yield 2% ต่อปี ซึ่ง GULFชนะประมูลโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนราว 1890MW และยังมีประมูลรอบใหม่อีก 3,660MWในระยะถัดไป ซึ่งมุมมองดอกเบี้ยมาถึงช่วงปลายขาขึ้น และเงินบาทแนวโน้มแข็งค่า บวกต่อกลุ่มโรงไฟฟ้า
ด้าน ETC ผู้ประกอบการโรงไฟฟ้าขยะอุตสาหกรรมที่มีความได้เปรียบจากบริษัทแม่ BWG รับกำจัดขยะอุตสาหกรรมและจัดหาขยะป้อนโรงไฟฟ้า และมี New S Curve หลังชนะประมูลโรงไฟฟ้าขยะรอบนี้ทั้ง 10โครงการ รวม 80MW เพิ่มกว่า 5เท่าตัว จากปัจจุบันมี 16.5MW จะช่วยหนุนภาพระยะยาวเติบโตเด่น จากฐานกำไรปัจจุบันราว 130-180 ล้านบาทต่อปี
ราคาหุ้น ETC ซื้อขายที่ PER ปี2566 ที่ 62เท่าแต่จะปรับลงมากหลังเริ่มโครงการใหม่ ซึ่งปัจจัยหนุนชนะประมูลโรงไฟฟ้าขยะ 80MWเป็น upside risk ต่อตลาด และมีผลบวกต่อกำไรปัจจุบันมากที่สุด โดยฐานกำไรอาจขึ้นไประดับหลักพันล้านต่อปี หาก COD ครบทุกโครงการ
จึงประเมิน เบื้องต้น 7.0บาท (ปัจจุบัน 1.5บาทต่อหุ้น + โครงการใหม่ 80 MW ที่ 5.5บาทต่อหุ้น)