ห้องเม่าปีกเหล็ก

กรณีศึกษา "หุ้นบุหรี่" กำไรดีขนาดไหน

โดย SiTh LoRd PaCk
เผยแพร่ :
48 views

"บุหรี่ทำลายสุขภาพ"
ประโยคนี้ผู้เขียนเชื่อว่า "ทุกคน" ต้องเคยได้ยินมาบ้าง และเข้าใจดีว่าโทษของการสูบบุหรี่เป็นอย่างไร ถึงแม้กระแสรักสุขภาพจะมาแรงขนาดไหน แต่สำหรับคนที่ติดบุหรี่แล้วก็ยากที่จะเลิก

เมื่อไม่นานมานี้ทุกคนคงจะได้ยินข่าวว่าโรงงานยาสูบได้ลงทุนขยายฐานการผลิตบุหรี่เพิ่มขึ้นที่สวนอุตสาหกรรมโรจนะ เพื่อให้มีรายได้นำส่งเข้ารัฐมากขึ้น อย่างไรก็ตามสำหรับบทความนี้เราจะไม่พูดถึงประเด็นนี้ แต่เราจะมาเจาะลึกว่าธุรกิจ "บุหรี่" กำไรดีขนาดไหน โดยใช้กรณีศึกษาของบริษัทยักษ์ใหญ่ทางด้านยาสุบอย่าง ฟิลลิป มอรริส (Philip Morris) กันครับ

อย่างที่เรารู้กันดีว่าฟิลลิป มอรริส เป็นเจ้าของบุหรี่ที่มีชื่อเสียงระดับโลกอย่าง Marlboro และ L&M แต่นอกจาก 2 แบรนด์ข้างต้นแล้วมีน้อยคนนักที่รู้ว่าฟิลลิป มอรริส ยังเป็นเจ้าของบุหรี่อีกหลากหลายชื่อส่งขายไปทั่วโลก ว่ากันว่าบุหรี่ระดับโลกมีทั้งหมด 15 แบรนด์ และ 7 ใน 15 แบรนด์มาจากโรงงานของฟิลลิป มอรริส โดยเฉพาะตัวแบรนด์อย่างเดียวมีมูลค่าสูงถึง 6 พันล้านเหรียญเลยทีเดียว

*** Dji Sam Soe 234 ชื่อเดิมคือ Kretek เป็นแบรนด์ท้องถิ่นของอินโดนีเซีย ภายหลังถูกซื้อไปและเปลี่ยนชื่อใหม่วางขายที่ประเทศอินโดนีเซียโดยเฉพาะ

*** L&M ย่อมาจาก Liggett & Myers เป็นชื่อบริษัทและให้เกียรติผู้ก่อตั้งอย่าง John Edmund Liggett เจ้าพ่อโรงงานยาสูบในช่วงปี 1822 ซึ่งเขามีอุดมการณ์ในบุหรี่ที่เขาผลิตไว้ว่า "บุหรี่ที่ดีที่สุด มาพร้อมกับตัวกรองขั้นเทพ" ภายหลังถูกซื้อไปโดยฟิลลิป มอรริส และเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น Altria Group อีกทั้งยังสร้างแบรนด์ใหม่อย่าง Chesterfield อีกด้วย

*** Longbeach บุหรี่เบอร์ 1 จัดจำหน่ายในประเทศออสเตรเลียและอินโดนีเซีย

*** Marlboro ผลิตขึ้นครั้งแรกในปี 1904 และเป็นแบรนด์ที่คนไทยรู้จักเป็นอย่างดี Marlboroเชื่อกันว่าเป็นบุหรี่เกรดพรีเมี่ยม อีกทั้งยังแตกแขนงออกมาอีกหลายแบรนด์อย่าง Marlboro Special, Marlboro Menthol, Marlboro Lights, Marlboro Lights Menthol, Marlboro Mix-9 Filter Kretek, Marlboro Flavor Plus, Marlboro Black Menthol

*** ST Dupont Paris บุหรี่ราคาแพงโดยให้เกียรติจากชื่อผู้ก่อตั้ง Simon Tissot Dupont ผู้คิดคั้น "ไฟแช็ค" ที่มีไว้สำหรับจุดบุหรี่โดยเฉพาะ อีกทั้งเขายังทำคอลเล็คชั่นไฟแช็คราคาแพงอีกด้วย โรงงานของเขาไฟไหม้ในปี 1872 ก่อนที่จะถูกฟิลลิป มอรริส เทคโอเวอร์ไปในภายหลัง

*** U Mild มีวางขายเฉพาะที่ประเทศอินโดนีเซียเท่านั้น

ในธุรกิจบุหรี่ มี 4 กลุ่มใหญ่ที่เรียกกันว่า "The big four" ของกลุ่มบุหรี่ด้วยเช่นกัน ซึ่ง 4 บริษัทกินส่วนแบ่งการตลาดมากถึง 41% จากนักสูบทั่วโลก มีกำลังการผลิตมากถึง 2.4 ล้านล้านมวนจากทั้งหมด 5.8 ล้านล้านมวน

อันดับ 1 คือ Philip Morris มีกำลังการผลิต 8.8 แสนล้านมวน กินส่วนแบ่งการตลาด 25%

อันดับ 2 คือ British American Tobaco มีกำลังการผลิต 6.67 แสนล้านมวน กินส่วนแบ่งการตลาด 19%

อันดับ 3 คือ Japan Tobacco International มีกำลังการผลิต 4.36 แสนล้านมวน กินส่วนแบ่งการตลาด 14%

อันดับ 4 คือ Imperial Tobacco Group plc. มีกำลังการผลิต 2.94 แสนล้านมวน กินส่วนแบ่งการตลาด 7%

== ส่องงบการเงิน ฟิลลิป มอรริส ==
จากงบการเงินย้อนหลังของ Philip Morris International Inc. พบว่า

ปี 2012 บริษัทมียอดขาย 3.11 หมื่นล้านเหรียญ และกำไรขั้นต้น 2.09 หมื่นล้านเหรียญ อัตรากำไรขั้นต้น 64%

ปี 2013 บริษัทมียอดขาย 3.09 หมื่นล้านเหรียญ และกำไรขั้นต้น 2.04 หมื่นล้านเหรียญ อัตรากำไรขั้นต้น 66%

ปี 2014 บริษัทมียอดขาย 2.96 หมื่นล้านเหรียญ และกำไรขั้นต้น 1.91 หมื่นล้านเหรียญ อัตรากำไรขั้นต้น 71%

ปี 2015 บริษัทมียอดขาย 2.66 หมื่นล้านเหรียญ และกำไรขั้นต้น 1.72 หมื่นล้านเหรียญ อัตรากำไรขั้นต้น 64%

ปี 2016 บริษัทมียอดขาย 2.67 หมื่นล้านเหรียญ และกำไรขั้นต้น 1.72 หมื่นล้านเหรียญ อัตรากำไรขั้นต้น 64%

เท่ากับว่าบริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้นสูงมากอยู่ที่ 64-70%

เราลองมาดู กำไรสุทธิ กันบ้างครับ จะได้รู้ว่าอัตรากำไรสุทธิเป็นเท่าไร

ปี 2012 มีกำไรสุทธิ 8.75 พันล้านเหรียญ Net Margin = 28.13%
ปี 2013 มีกำไรสุทธิ 8.53 พันล้านเหรียญ Net Margin = 27.60%
ปี 2014 มีกำไรสุทธิ 7.46 พันล้านเหรียญ Net Margin = 25.2%
ปี 2015 มีกำไรสุทธิ 6.85 พันล้านเหรียญ Net Margin = 25.7%
ปี 2016 มีกำไรสุทธิ 6.95 พันล้านเหรียญ Net Margin = 26%

จะเห็นได้ว่ายอดขายของบริษัทลดลงเรื่อยๆ อาจจะเป็นเรื่องของกระแสคนรักสุขภาพมากขึ้น สูบกันน้อยลง อย่างไรก็ตามมีน้อยบริษัทนักที่ยอดขายลดลง แต่ยังรักษาอัตรากำไรขั้นตั้น (Gross Margin) และอัตรากำไรสุทธิ (Net Margin) อยู่ในระดับสูงอยู่ได้ เพราะโดยส่วนใหญ่แล้วเมื่อยอดขายลดลง บริษัทไม่สามารถคุมรายจ่ายส่งผลให้อัตรากำไรสุทธิลดลงเรื่อยๆ นี้ถือเป็นความพิเศษของธุรกิจที่ยากต่อการเลียนแบบ

อัตราส่วนทางการเงินสำคัญ P/E อยู่ที่ 22.9 เท่า ไม่แพงไม่ถูก ROA 19.63 เท่า ROI ที่ 55 เท่า ถือว่าสูงมาก และอัตราปันผลเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 4%

จากราคาหุ้นเริ่มต้นตอนปี 2008 เทรดกันที่ 50 เหรียญ ปัจจุบันปี 2017 อยู่ที่ 102 เหรียญ ถ้านักลงทุนเป็นคนที่ซื้อแล้วถือมาจนถึงปัจจุบันจะคิดเป็นผลตอบแทนประมาณ 100% ถือยาวนานถึง 10 ปี คิดเป็นผลตอบแทนเฉลี่ยที่ 10% โดยไม่นับปันผล ถ้ารวมกับปันผลที่ 4% นักลงทุนจะได้ผลตอบแทนปีละ 14-15% โดยเฉลี่ยครับ

เห็นแบบนี้แล้ว อยากจะเป็นเจ้าของหุ้นบุหรี่กันบ้างไหมครับ ... ?

ขอบคุณแหล่งข้อมูล
https://www.marketwatch.com/investing/stock/pm/profile

https://en.wikipedia.org/wiki/Philip_Morris_International

https://finance.yahoo.com/quote/PM/

http://blogs.bmj.com/bmj/2015/04/23/the-bmj-today-elders-teens-and-tobacco-in-the-modern-era/


SiTh LoRd PaCk