วิกฤติเศรษฐกิจโลกและสาเหตุของการเกิด

วิกฤติเศรษฐกิจโลกและสาเหตุของการเกิด :

1) ความบ้าคลั่งดอกทิวลิบ ( The Tulip Mania ) : ประเทศเนเธอร์แลนด์ ปี ค.ศ.1636 สาเหตุเกิดจากความบ้าคลั่งในดอกทิวลิป

2) ฟองสบู่หุ้นบริษัทเซ้าส์ซี ( The South Sea Bubble ) : ประเทศอังกฤษ ปี ค.ศ. 1720 สาเหตุเกิดจากบริษัท South Seaซึ่งทําธุรกิจส่งทาสไปยังอเมริกากลางและอเมริกาใต้ คาดการณ์ผิดพลาดว่าสงครามสเปนจะยืดเยื้อแต่ท้ายที่สุดก็ตกลงกันได้

3) การตกตําครั้งใหญ่ ( The Great Depression ) : ประเทศสหรัฐอเมริกาในปี ค.ศ.1929 สาเหตุเกิดจากชาวอเมริกันก่อหนี้เกินตัวในภาคอสังหาริมทรัพย์และตลาดหุ้น

4) วิกฤตการณ์พลังงานครั้งที่ 1 ( The First Oil Crisis ) : เกิดขึ้นทั่วโลกในปี ค.ศ. 1973 สาเหตุเกิดจากประเทศผู้ผลิตนํามันรายใหญ่โดยเฉพาะซาอุดิอาระเบียห้าม ( Oil Embargo) ส่งนํามันไปขายให้แก่ประเทศให้การสนับสนุนอิสราเอลในการทําสงครามกับชาวปาเลสไตน์โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา

5) วันจันทร์ทมิฬ ( Black Monday ) : เกิดขึ้นในประเทศสหรัฐอเมริกาในปี ค.ศ. 1987 สาเหตุเกิดจากการเบี้ยวหนี้ของประเทศทางแถบลาตินอเมริกาต่อธนาคารขนาดใหญ่เช่น Citi Bank เป็นต้น

6) วิกฤติเศรษฐกิจของประเทศญี่ปุ่น : เกิดในประเทศญี่ปุ่นในปี ค.ศ. 1990 สาเหตุเกิดจากเศรษฐกิจญี่ปุ่นร้อนแรงเกินไปหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา

7) วิกฤติต้มยํากุ้ง : เกิดในประเทศไทยในปี ค.ศ.1997 สาเหตุเกิดจากการเปิดเสรีทางด้านการเงิน ( BIBF ) ในขณะเดียวกับค่าเงินบาทยังคงตรึงอยู่กับ USD แล้วมีการกู้เงินจากต่างประเทศที่มีอัตราดอกเบี้ยตํามาใช้ในประเทศไทยที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงแล้วนํามาใช้แบบเกินตัวในการลงทุนในภาคอสังหาริมทรัพย์ และตลาดหุ้น เป็นต้น

8) ฟองสบู่ดอดคอม : เกิดในสหรัฐอเมริกาในปี ค.ศ.2000 สาเหตุเกิดจากหุ้นเทคโนโลยีในสหรัฐอเมริการ้อนแรงเกินไป

9) วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์หรือวิกฤติ Supprime : เกิดในสหรัฐอเมริกาในปี ค.ศ. 2008 สาเหตุเกิดจากเฟดตรึงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ( Fed Fund Rate ) ไว้นานเกินไป ทําให้เงินล้นระบบ แล้วไปชี้นําให้ชาวอเมริกันก่อหนี้เกินตัวเพื่อนําไปลงทุนใน Supprime Assets

10) วิกฤติหนี้สินยุโรป : เกิดในประเทศแถบยุโรปในปี ค.ศ.2011 : สาเหตุเกิดจากนโยบายประชานิยมของรัฐบาล

11) วิกฤต Covid-19 : เกิดทั่วโลกในปี ค.ศ. 2022 สาเหตุเกิดจากการระบาดของ Covid-19

โปรดติดตามรายละเอียดได้ในลิ้งค์เพจด้านล่าง :

https://www.facebook.com/luncvsbitcoin