จากตอนที่แล้ว...ที่เราอธิบายถึงการเลือกใช้ SL ( Stop Loss ) แบบไหนให้เหมาะกับการลงทุนของเรา
ย้อนอ่านได้ที่ลิ้งค์นี้ครับ
เลือกใช้ SL ( Stop Loss ) แบบไหนให้เหมาะกับการลงทุนของเรา
ซึ่งในบทนี้จะอธิบายถึงการเลือกใช้ SL ( Stop Loss ) แบบไหนให้เหมาะกับสภาวะจิตใจของเรา
สิ่งที่นักลงทุนทุกคนต้องเผชิญในสนามการลงทุนจริง...แม้เราจะออกแบบแผนกลยุทธ์การลงทุนมาดีแค่ไหนก็ตาม...สภาวะจิตใจก็ยังส่งผลกระทบต่อตัวนักลงทุนได้เสมอในยามที่ต้องมีพอร์ตติดลบ...หรือได้รับผลกระทบจากการที่ออเดอร์ในการลงทุนหุ้นถูกSL ( Stop Loss ) ดังนั้นเรามาดูผลกระทบและการเลือกใช้ SL ( Stop Loss ) ให้เหมาะสมตามระดับสภาวะจิตใจของเรากันครับ
SL ( Stop Loss ) แต่ละแบบ
1. SLแบบชิด ( A )
2. SLแบบกว้าง ( B )
3. SLไม่มี ( C )
4. SL ปิดที่ต้นทุน ( D )
1. SLแบบชิด ( A )
> ผลกระทบที่นักลงทุนจะได้รับเมื่อเลือกใช้ SLแบบชิด คือ การที่ถูก SL ซ้ำๆบ่อยๆติดกัน จนเกิดอาการกังวลใจที่จะเข้าออเดอร์ตามแผนกลยุทธ์การลงทุนในช่วงท้ายๆ เช่น ออกแบบไว้ว่าจะเข้าออเดอร์ทั้งหมด 10 ออเดอร์ แบ่งจุดเข้าเป็น 10 9 8 7 6 5 4 3 2 1 แต่เมื่อถูกSLจริงในตลาดตั้งแต่ตำแหน่งที่ 7 ลงไป อาจรู้สึกไม่เชื่อมั่นต่อแผนกลยุทธ์การลงทุนที่ออกแบบมา และอาจส่งผลถึงการเปลี่ยนแผนระหว่างทาง เช่น เพิ่มขนาดออเดอร์ หรือไม่เข้าออเดอร์ในตำแหน่งที่ออกแบบไว้ก่อนหน้า ทำให้หากกรณีที่เพิ่มออเดอร์แล้วราคาไหลลงต่อก็จะได้รับผลกระทบทางจิตใจที่หนักมากยิ่งขึ้นทำให้เกิดความกังวลและความกลัวมายิ่งขึ้น แต่ถ้าไม่ใส่ออเดอร์ในตำแหน่งที่ออกแบบไว้...ราคาดันวิ่งขึ้นกลับไปก็จะรู้สึกเสียดายที่ไม่ได้เข้าออเดอร์ในตำแหน่งที่ออกแบบไว้ ทำให้อาจส่งผลให้ตัดสินใจเข้าเพิ่มในจุดที่เป็นจุดสูงสุดใหม่ได้ ทำให้เสียเปรียบเรื่องต้นทุน และจังหวะในการเข้าลงทุนได้ทันที
::: ดังนั้น ::: การลงทุน SLแบบชิด เหมาะกับสภาวะจิตใจที่พร้อมรับเมื่อกับการโดน SL ต่อเนื่องได้ จิตใจต้องนิ่งแม้จะโดนSLซ้ำๆต่อเนื่องก็ตาม
2. SLแบบกว้าง ( B )
> ผลกระทบที่นักลงทุนจะได้รับเมื่อเลือกใช้ SLแบบกว้าง คือ เมื่อถูก SL 1 ครั้ง เงินทุนจะลดลงไปเยอะมากอาจถึง 50% ของพอร์ตการลงทุน ดังนั้นเมื่อเงินทุนลดลงไปเยอะ อาจทำให้รู้สึกว่าอาจทำให้เป็นกำไรกลับคืนมานั้นยากยิ่งขึ้น และอาจถึงขั้นทำให้ท้อใจ เหนื่อยใจที่จะทำตามแผนกลยุทธ์การลงทุนที่ออกมาได้ อาจส่งผลถึงขั้นเลือกสนใจและไม่ดูพอร์ตการลงทุนนั้นเลยก็ได้
::: ดังนั้น ::: การลงทุน SLแบบกว้าง เหมาะกับสภาวะจิตใจที่พร้อมรับเมื่อกับการโดน SL ได้ลึก เงินทุนหายได้สูง แต่สภาวะจิตใจต้องพร้อมที่จะทำตามแผนกลยุทธ์การลงทุนที่ออกแบบไว้ได้อย่างต่อเนื่อง ไม่ยกเลิกแผนไปในระหว่างทาง
3. SLไม่มี ( C )
> ผลกระทบที่นักลงทุนจะได้รับเมื่อเลือกใช้ SLไม่มี คือ ออเดอร์สะสมที่ติดลบอยู่...แม้จะไม่โดนSLออกไปจริง แต่ยอดเงินในพอร์ตจะสะสมติดลบไปเรื่อยๆ ทำให้ส่งผลกระทบต่อสภาวะจิตใจ เริ่มคิดนึกไปก่อนล่วงหน้าว่าอาจติดลบลงไปถึงขั้นเงินหมดพอร์ตได้ ดังนั้นเมื่อยอดติดลบสูงขึ้นไปเรื่อยๆจนเกินกว่าระดับ 70% ของพอร์ตการลงทุน นักลงทุนอาจเกิดเป็นความกังวลและความกลัวขึ้นมาได้ อาจไม่เข้าออเดอร์ตามแผน หรือใส่ออเดอร์เพิ่มเกินระดับออเดอร์ที่คำนวณและออกแบบแผนกลยุทธ์การลงทุนไว้แต่แรก
::: ดังนั้น ::: การลงทุน SLไม่มี เหมาะกับสภาวะจิตใจที่พร้อมเผชิญกับยอดสะสมติดลบที่สูงได้ และใช้วิธีเก็บสะสมกระแสเงินสดระหว่างทางไป โดยการคุมทั้งสภาวะจิตใจ และเงินทุนให้เหมาะสม แม้จะมียอดสะสมติดลบที่สูงเกิน 70% ก็ตาม
4. SL ปิดที่ต้นทุน ( D )
> ผลกระทบที่นักลงทุนจะได้รับเมื่อเลือกใช้ SL ปิดที่ต้นทุน ( D ) คือ เข้าออเดอร์แต่ราคาเคลื่อนตัวไปไม่ไกลจากต้นทุนในราคาเปิดมากนัก แล้ววกกลับมาที่ราคาต้นทุนจึงต้องยอมSLปิดที่ต้นทุนซ้ำๆ ทำให้ศูนย์เสียเงินค่าคอมมิชชั่นซ้ำๆต่อเนื่องกัน ซึ่งอาจไม่มากนักในแต่ละครั้ง แต่เมื่อสะสมไปเรื่อยๆ สภาวะจิตใจจะเริ่มเกิดความหงุดหงิดใจที่ราคาไม่วิ่งขึ้นไปอย่างต่อเนื่อง แต่วกกลับมาเสมอ บ่อยๆ ซ้ำๆ ทำให้อาจเกิดอาการดึง SL ออก หรือเลื่อน SL ลงมาต่ำกว่าต้นทุน ซึ่งถ้าราคายังขยับลงมาต่ำกว่าต้นทุนอีกก็จะส่งผลกระทบต่อเงินทุนที่ต้องศูนย์เสียมากกว่าเดิม และเริ่มทำให้สภาวะจิตใจที่หงุดหงิด อาจทำให้อยากได้คืนมากยิ่งขึ้น
::: ดังนั้น ::: การลงทุน SL ปิดที่ต้นทุน เหมาะกับสภาวะจิตใจที่พร้อมเผชิญกับการที่พร้อมจะศูนย์เสียเพียงค่าคอมเท่านั้นในกรณีที่ผิดทาง
ไม่ว่าเราจะเลือกใช้ SL แบบไหนก็ตาม สิ่งที่หลีกหนีไม่พ้น คือ การทำใจยอมรับความเสี่ยงของเงินทุนให้ได้แบบเต็ม 100% ก่อนที่จะนำมาลงทุน จะทำให้เราหลีกหนีออกจากความกังวลใจได้มากยิ่งขึ้น เช่น ถ้าตั้งใจจะนำเงินมาลงทุน 1 ล้านบาท...ให้เราลองถามใจตัวเองว่า ถ้าเสียเงินทุน 1 ล้านบาทไป...เราจะยอมรับความเสี่ยงระดับนี้ได้จริงๆหรือไม่ หากตอบว่าไม่ได้...เรายังยอมรับความเสี่ยงระดับนี้ไม่ได้...ให้เราค้นหาตัวเลขที่เรายอมรับได้มาแทน เช่น อาจคือ 1 แสนบาท, 2 แสนบาท, 3 แสนบาท เมื่อหาตัวเลขที่ลงตัวเหมาะสมกับสภาวะจิตใจของเราเจอแล้ว...ก็ให้ใช้เงินทุนเพียงระดับที่เรายอมรับได้มาลงทุน เราก็จะสามารถทำตามแผนกลยุทธ์การลงทุนได้แบบไร้ความกังวลใจมากยิ่งขึ้น
สุดท้ายไม่ว่าเราจะเลือกใช้ SL แบบไหนก็ตาม แต่ในการลงทุนยังคงมีองค์ประกอบอื่นๆอีก เช่น จังหวะเข้า+จังหวะออกที่แม่นยำ อัตราผลกำไรต่อการขาดทุน ดังนั้น SL เป็นเพียงส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ในการลงทุนเท่านั้น ต้องนำไปปรับใช้ให้เข้ากับสไตล์การลงทุนของเรา