ผิดไหมที่มุมานะ หรือ ผิดที่ไม่ลับขวาน จากเพจของพี่จิก ประภาส ชลสรานนท์
คำถาม-
หนูมีเพื่อนรักอยู่คนหนึ่ง เราสองคนเป็นแฟนหนังสือของพี่ เพื่อนคนนี้มันอยากเป็นนักเขียนเป็นครีเอทีฟ สมัยเรียนเขาเขียนบทละครให้โรงเรียนบ่อยมาก สุดท้ายไม่ได้เรียนต่อนิเทศ ทุกวันนี้ก็เก็บตัวอยู่ในห้องเขียนบทละครและบทหนังไปเสนอบริษัทต่างๆ
พอจะชวนออกไปดูหนังโรงไปเที่ยวต่างจังหวัดเขาก็ย้อนว่าเก็บเงินไว้ซื้อกระดาษซื้อดินสอซื้อคอมพิวเตอร์ดีกว่า หนังน่ะดูในเน็ตสบายๆไม่ต้องไปไหน เพราะเขายังต้องเขียนอีกไม่รู้เท่าไรกว่าจะมีคนรับบทหนังของเขา
ตอนนี้เลิกกับแฟนไปแล้วเพราะวันๆเอาแต่เขียนหนังสือ
ไม่อยากโทษว่าหนังสือพี่เป็นต้นเหตุ แต่จะว่าไปมันก็มีส่วนอยู่เหมือนกันเพราะเขามักอ้างถึงบทความที่พี่เขียนให้คนมุมานะไม่ยอมแพ้
เพื่อนของคนบ้า
คำตอบ-
เอาละสิครับท่านผู้ชม ผมโดนปรักปรำเข้าเสียแล้ว
ผมกำลังนึกอยู่ว่าข้อหาที่ผมได้รับว่ามีส่วนทำให้เพื่อนของคุณจมอยู่กับความมุ่งมั่นนั้นมาจากหนังสือของผมบทไหน เช่นเพื่อนของคุณอาจจะไปอ่านตอนที่ผมเล่าถึงเอดิสันที่ทดลองประดิษฐ์หลอดไฟมากกว่าสามพันครั้งกว่าจะสำเร็จ
หรือไปอ่านเอาตอนที่ผมเล่าถึงสุดยอดความพยายามของมนุษย์คนหนึ่งที่อัมพาตทั้งร่างกาย กระพริบได้เพียงเปลือกตาข้างเดียวแต่เขาเขียนหนังสือจบเล่มด้วยการกระพริบบอกอักษรให้คนช่วยเขียน
ยอมรับข้อกล่าวหาครับว่าผมเล่าเรื่องราวเหล่านั้น ด้วยมีความปราถนาจะให้คนหนุ่มสาวรุ่นใหม่ๆมีความมุ่งมั่นในงานของตน และไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ
แต่ขณะเดียวกันผมคงจะต้องแก้ต่างให้ตัวเองด้วยว่า ในหลักฐานชิ้นเดียวกันนั่นคือหนังสือของผม เล่มเดียวกันกับที่ผมเล่าไปเมื่อกี้นั่นแหละครับ
บางทีเพื่อนของคุณอาจจะเปิดหนังสือข้ามตอนที่ผมเล่าถึงไอนสไตน์คิดทฤษฎีสัมพัทธภาพออกตอนที่กำลังนั่งฝันกลางวันอยู่บนเนินเขา
หรือไม่เพื่อนของคุณก็อาจจะลืมอ่านตอนศิลปินจีนนักวาดไก่คนหนึ่งที่ในตอนจบเขาเอาแต่เที่ยวป่านั่งชมไก่ไปทั้งวันแล้วก็มาวาดไก่จนเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้ หลังจากที่ในตอนแรกเขานั่งวาดอยู่ทั้งวันทั้งคืนก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ
สิบกว่าปีก่อน ผมเคยแต่งเพลงๆหนึ่ง ชื่อเพลงฟังดูขบขันว่า"แง่งาม" เพลงนี้พูดถึงปรัชญาชีวิตที่ดำเนินไปทุกวันว่าไม่ว่าอย่างไรชีวิตมันก็ย่อมมีทางออกแน่เมื่อถึงทางตัน คงยังจำกันได้นะครับ
ที่มีท่อนหนึ่งร้องว่า “ชีวิตไม่เคยมีทางตัน มันอยู่ตรงจะเห็นเป็นมุมใด” เพลงนี้ร้องโดยพี่ปั่นไพบูลยเกียรติ (https://www.youtube.com/watch?v=1p1ku58uAmY)
เพลงนี้แต่เดิมผมแต่งเพื่อประกอบโฆษณาบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปยี่ห้อหนึ่ง เป็นเพลงที่มีความยาวประมาณหนึ่งนาที และเนื่องด้วยเวลาสำหรับโฆษณาโทรทัศน์ไม่อาจมีความยาวเท่ากับเพลงทั่วๆไปได้ ดังนั้นในเพลงโฆษณาเพลงนั้นจึงไม่มีท่อนสุดท้ายซึ่งต้องนับว่าเป็นท่อนที่สำคัญที่สุด ท่อนสุดท้ายนั้นเขียนว่า
เดินขึ้นภูเขาใช่มองแต่จุดหมาย
เมฆหมอกดอกไม้ก็ใกล้กัน
สิ่งที่สวยงามเกิดขึ้นทุกวัน
สำคัญที่เราได้หันไปมองดู
เมื่อยนะครับ เดินไปไหนสักแห่งแล้วมองแต่จุดหมายอย่างเดียวโดยไม่เหลียวชมชื่นสรรพชีวิตข้างๆทางเสียบ้าง
แล้วมันจะไม่เมื่อยอย่างเดียวด้วยเวลาที่หน้าไม่ขยับไปไหนเลย กล้ามเนื้อแถวคอมันจะตึงเป็นก้อนๆเอา จากนั้นมันก็คงจะตึงมาถึงหัวไหล่ และก็อาจถึงขั้นปวดหัวได้ อันนี้เรื่องจริงครับไปถามหมอนวดที่เรียนอายุรเวชดูก็ได้
สุดท้ายยอดเขาที่เราหมายไว้ก็อาจไปไม่ถึงเพราะตะคริวกินคอเสียก่อน
นักเขียนต้องอ่านหนังสือเยอะๆครับ คนแต่งเพลงต้องฟังเพลงมากๆ พ่อครัวเก่งๆต้องขยันชิมของอร่อยอยู่เป็นนิจ ผมพูดอย่างนี้ซ้ำๆอยู่เต็มไปหมดในหนังสือของผม
ระหว่างทางเป็นเรื่องใหญ่ครับ ไปถามเหล่าผู้กำกับที่มีผลงานดีๆได้เลย
ว่าแม้แต่แค่ได้นั่งพักมองอะไรเรื่อยเปื่อยระหว่างถ่ายทำภาพยนตร์ พวกเขาต้องเคยนึกอะไรดีๆออกในช่วงนั้น แล้วเอามาใช้ในการเขียนแก้ไขงาน
ดอกหญ้าข้างทางนี่พาอัศวินไปรบชนะมาไม่รู้เท่าไรแล้ว
ในยุคที่เมืองไทยยังหุงต้มกันด้วยฟืน ท่านขุนผู้เป็นนายส่งขวานเล่มใหญ่เล่มหนึ่งให้บ่าวคนสนิทด้วยอยากสอนให้คิดเป็น
“ผ่าฟืนดู อยากรู้ว่าวันหนึ่งแกจะผ่าได้เท่าไร” ท่านขุนสั่ง
วันนั้นบ่าวคนขยันผ่าฟืนกองไว้ 20 กองให้ท่านขุนตรวจ
“ดีมาก พรุ่งนี้เอาให้ได้เท่าเก่านะ แล้วข้าจะเพิ่มเบี้ยหวัดให้” ท่านขุนตั้งรางวัล
วันรุ่งขึ้น บ่าวผู้มุ่งมั่นตื่นมาผ่าฟืนตั้งแต่ไก่เพิ่งโห่ และก็ขมักขเม้นผ่าฟืนแทบทั้งวัน ถึงเวลาพักก็พักแต่เพียงเล็กน้อย ความตั้งใจที่จะได้จำนวนกองฟืนมากกว่าเมื่อวานนั้นดูเหมือนจะอยู่เหนือกว่าความเหน็ดเหนื่อยเสียแล้ว และเมื่อท่านขุนมานับกองฟืนในตอนเย็นก็พบว่าเขาผ่าได้เพียง 18 กองเท่านั้น
“พรุ่งนี้เอาให้ได้เท่าวันแรกนะ” ท่านขุนสั่งด้วยคำสั่งสั้นๆเช่นเดิม
ตัวบ่าวผู้ถูกสั่งก็เข้านอนแต่หัวค่ำด้วยตั้งใจจะตื่นแต่เช้าอย่างสดชื่นและมีแรงมากพอ
วันที่สามนี้บ่าวคนขยันตื่นก่อนไก่ และก็ลงมือผ่าฟืนอย่างไม่รู้เหน็ดรู้เหนื่อยตั้งแต่ฟ้ายังไม่แจ้ง และเมื่อถึงเวลาพัก บ่าวผู้มุ่งมั่นก็พักเพียงแค่เปิบข้าวเสร็จ ข้าวยังไม่ทันเรียงเม็ดดี เขาก็แบกขวานไปผ่าฟืนต่อทันที
เขาแปลกใจตัวเองมาก เขารู้สึกว่าเขาได้ใช้ความพยายามอย่างมาก แต่เมื่อถึงเวลาเย็นท่านขุนเดินออกมานับกองฟืนก็นับได้เพียง 14 กองเท่านั้น
“มันน้อยลงทุกวันนะ” ท่านขุนทัก
“เรี่ยวแรงข้าพเจ้าคงหมดเสียแล้วขอรับ” บ่าวก้มหน้านิ่ง “จะย้ายข้าพเจ้าไปทำงานในไร่ในนาอย่างไรข้าพเจ้าก็ยอมหมดทุกอย่าง ข้าพเจ้าคงแก่ตัวลงเสียแล้ว”
จากนั้นบ่าวคนขยันก็พูดจาขอโทษขอขมาอีกยาวเหยียด รวมทั้งแสดงความแปลกใจอยู่ในทีตลอดว่าเหตุใดตัวเองจึงแรงถดถอยเร็วถึงเพียงนี้
ระหว่างที่เจ้าบ่าวผู้น้อยเนื้อต่ำใจกำลังพูดพร่ำพรรณาอยู่นั้น ประโยคสั้นๆเพียงประโยคเดียวของท่านขุนก็ทำให้บ่าวต้องหยุดพูด และก็ถึงบางอ้อทันที ท่านขุนถามสั้นๆเพียงว่า
“เจ้าลับขวานครั้งสุดท้ายเมื่อไร”
ประภาส ชลสรานนท์