มาทำความเข้าใจเรื่องกรณี กูเกิล แบนการทำธุรกิจกับ หัวเว่ย และเรื่องราวหลังจากนี้ที่จะเกิดขึ้น
สรุปเรื่องราวประเด็นที่สำคัญๆ กรณีของ Google ได้แบนการทำธุรกิจกับ Huawei ว่ามีที่มาได้อย่างไร เกี่ยวกับสงครามการค้าอย่างไร และเรื่องราวหลังจากนี้
ข่าวดังวันนี้คงจะหนีไม่พ้นเรื่องของ Google ประกาศหยุดทำธุรกิจกับ Huawei ยักษ์ใหญ่ทางด้านมือถือและอุปกรณ์โทรคมนาคมอันดับต้นๆ ของโลก สร้างความแตกตื่นให้กับผู้ใช้โทรศัพท์มือถือของ Huawei ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Android กังวลว่าอาจใช้บริการของ Google ไม่ได้เสียด้วยซ้ำ
Brand Inside พามาทำความเข้าใจในเรื่องนี้ และวิเคราะห์ถึงเรื่องหลังจากนี้ว่าจะเป็นอย่างไรต่อ
เรื่องมันมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร
ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ลงนามคำสั่งบริหาร ห้ามบริษัทในสหรัฐฯ ใช้อุปกรณ์โทรคมนาคมที่เป็นภัยต่อความมั่นคง เพื่อที่จะปกป้องระบบอินเตอร์เน็ตและเทคโนโลยีสารสนเทศของสหรัฐจากการคุกคามของเทคโนโลยีต่างชาติ และเรื่องที่เกิดขึ้นได้สร้างแรงปะทุให้กับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีนเพิ่มขึ้นไปอีก
คำสั่งบริหารครั้งนี้ไม่ได้ระบุชื่อบริษัทใดอย่างเป็นทางการ แต่คำสั่งนี้ได้ทำให้กระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐฯ ได้นำชื่อของ Huawei และบริษัทที่เกี่ยวเนื่องกับ Huawei กว่า 70 บริษัทขึ้นบัญชีดำทันที
โดยการแบนอุปกรณ์โทรคมนาคมที่เป็นภัยต่อความมั่นคงนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ต่างฝ่ายได้ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าซึ่งกันและกัน เริ่มจากสหรัฐฯ ขึ้นภาษีสินค้านำเข้าสินค้าจีนมูลค่ากว่า 200,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะเดียวกันจีนได้ขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ มูลค่า 60,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็นการตอบโต้
ทำไมถึงต้องกลัว Huawei กันขนาดนี้?
สาเหตุที่สหรัฐฯ ต้องออกคำสั่งบริหารออกมาเนื่องจากในช่วงที่ผ่านมามีความกังวลในเรื่อง “อุปกรณ์โทรคมนาคม”ของ Huawei เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทคโนโลยี 5G กำลังจะมาถึงในอนาคตอันใกล้ ทำให้ความกังวลเรื่องนี้เพิ่มขึ้นอย่างมาก ยังรวมไปถึงเรื่องของสิทธิบัตร 5G ที่ Huawei เป็นผู้นำในเรื่องเทคโนโลยีนี้ และถ้าหากนับเรื่องงบการวิจัยและพัฒนาแล้ว Huawei ก็ยังเป็นอันดับ 1 ตั้งแต่ปี 2014 ด้วย
อีกเรื่องที่สำคัญคืออุปกรณ์โทรคมนาคมของ Huawei “ได้รับความนิยมอย่างมาก” เนื่องจากประสิทธิภาพเท่าๆ กับคู่แข่งจากตะวันตก เช่น Ericsson หรือแม้แต่ Nokia แต่ราคาถูกกว่ามหาศาล ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์บนเสาโทรคมนาคม (เช่นในรูป) โดยเฉพาะในทวีปยุโรปนั้นปี 2017 มีส่วนแบ่งทางการตลาดถึง 28% รวมไปถึงเคเบิลใต้น้ำระหว่างประเทศที่ Huawei ได้รับงานวางสายเคเบิลเพิ่มมากขึ้น ทำให้เกิดความวิตกในเรื่องนี้
นอกจากนี้ในช่วงที่ผ่านมามีความกังวลว่าอุปกรณ์เหล่านี้จาก Huawei จะสามารถเป็นประตูหลังทำให้รัฐบาลจีนสามารถสอดแนมประเทศต่างๆ ผ่านอุปกรณ์เหล่านี้ได้ ทำให้ฝ่ายความมั่นคงของหลายๆ ประเทศออกมาให้ข่าวว่า Huawei มีหน่วยงานความมั่นคงจีนสนับสนุน หรือแม้กระทั่งมีความกังวลในเรื่องนี้ รวมไปถึงสหรัฐฯ เองก็กดดันในเรื่องนี้มาโดยตลอด แม้ว่าบริษัทจะออกมาปฏิเสธหลายๆ ครั้งแล้วก็ตาม จนถึงล่าสุดเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา บริษัทถึงออกประกาศว่ายอมเซ็นสัญญารับประกันว่าอุปกรณ์โทรคมนาคมของบริษัทปลอดภัยจากการสอดแนมแน่นอน
ทำไม Google ต้องแบน?
อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่าเมื่อคำสั่งนี้ได้ทำให้กระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐฯ ได้นำชื่อของ Huawei และบริษัทที่เกี่ยวเนื่องกับ Huawei กว่า 70 บริษัทขึ้นบัญชีดำแล้วนั้น บริษัทเอกชนของสหรัฐฯ ไม่สามารถที่จะดำเนินธุรกิจเกี่ยวข้องกับยักษ์ใหญ่โทรคมนาคมจีนได้ต่อไป ดังเช่นกรณีของ Google
แต่เรื่องที่เกิดขึ้นไม่ใช่แค่ Google แค่บริษัทเดียวด้วยซ้ำที่ต้องห้ามทำธุรกิจกับ Huawei แต่บริษัทอื่นๆ เช่น Qualcomm และ TSMC ผู้ผลิตชิปรายใหญ่ก็กำลังตัดสินใจที่จะไม่ทำธุรกิจกับยักษ์ใหญ่จากประเทศจีน รวมไปถึงบริษัทอื่นๆ เช่น Intel และ Broadcom ฯลฯ ซึ่งบริษัทต่างๆ เหล่านี้จะต้องปฏิบัติตามกฎหมายสหรัฐอย่างเคร่งครัด ไม่งั้นแล้วอาจโดนลงโทษ และความเสียหายอาจเกินที่คาดเดาได้
ตัวอย่างรายชื่อบริษัทที่อยู่ใน Supply Chain ของ Huawei (ตัวหนาคือบริษัทสหรัฐฯ ที่ต้องทำตามคำสั่งบริหาร)
- ARM
- Intel
- Analog Devices
- Broadcom
- Qualcomm
- NXP
- Microsoft
- Texas Instruments
นอกจากนี้บริษัทอื่นๆ อาจต้องทำตามกฎเกณฑ์ข้างต้น ก็เหมือนกับเป็นการตัดแข้งตัดขาของ Huawei ครั้งใหญ่ที่สุดด้วย โดยผลกระทบกับ Huawei อาจไม่ใช่แค่โทรศัพท์มือถือด้วยซ้ำ แต่สินค้ากลุ่ม Consumer ของบริษัทแทบทั้งหมดอาจได้รับผลกระทบ แม้ว่าเหริน เจิ้งเฟย ผู้ก่อตั้งของ Huawei จะกล่าวว่า“Huawei ไม่เป็นไร” ก็ตาม
เรื่องของสงครามการค้า Huawei ไปเกี่ยวได้อย่างไร
สำหรับประเด็นสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา สิ่งหนึ่งที่สหรัฐฯ กดดันให้จีนปฏิบัติมาโดยตลอดคือเรื่องของ “การยอมรับในเรื่องของทรัพย์สินทางปัญญา” และเอาจริงเอาจังในเรื่องนี้ และประเด็นนี้คือ 1 ในประเด็นสำคัญของเรื่องสงครามการค้าที่คาราคาซังหาทางเจรจาไม่ได้มาโดยตลอด
- สหรัฐยื่นเรื่องร้องเรียนกรณีจีนขโมยทรัพย์สินทางปัญญาเข้า WTO แล้ว
- บทวิเคราะห์: 2018 Trade War จะกลายเป็น 2019 Tech War?
- จีนอีกแล้ว! ก.ยุติธรรมสหรัฐฟ้องรัฐวิสาหกิจจีน “ขโมยเทคโนโลยี” ชิปหน่วยความจำ
สำหรับกรณีที่ Huawei เข้าไปเกี่ยวกับสงครามการค้าได้อย่างไร คำตอบคือ Huawei เป็นส่วนหนึ่งในแผนการ Made in China 2025 ที่จีนพยายามไปให้ได้ แต่เรื่องหนึ่งที่สำคัญคือในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมา Huawei ได้พัฒนาอุปกรณ์โดยมีข้อกล่าวหาจากบริษัทตะวันตกในเรื่องของการขโมยทรัพย์สินทางปัญญามาโดยตลอด ยกตัวอย่างเช่น
- กรณีพิพาทกับ Cisco ซึ่งเป็นยักษ์ใหญ่อุปกรณ์ Network ที่ Cisco ได้กล่าวว่า Huawei ได้ลอกเลียนแบบเรื่อง Software และทรัพย์สินทางปัญญาที่เป็นจุดขายของบริษัท เช่น ระบบ Routing
- ข้อกล่าวหาในเรื่องของการขโมยความลับทางการค้าจากผู้ให้บริการมือถือในสหรัฐฯ อย่าง T-Mobile
- กรณีการขโมยทรัพย์สินทางปัญญาของ Motorola ในส่วนธุรกิจโทรคมนาคม ก่อนท้ายที่สุดจะยอมความ
ฉะนั้นแล้วเรื่องนี้ Huawei จึงเกี่ยวข้องกับเรื่องไม่ว่าทางตรงและทางอ้อมนี้แบบหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก่อนหน้านี้ก็เคยมีกรณีลูกสาวของผู้ก่อตั้ง Huawei อย่าง เหมิง หวันโจว มาแล้ว
อนาคตของ Huawei หลังจากนี้
สำหรับอนาคตของ Huawei หลังจากนี้อาจเหลืออยู่เพียงแค่ 2 ทางเท่านั้น
ทางแรกคือ Huawei ต้องเดินได้ด้วยตัวเอง แต่เรื่องนี้ถือเป็นความเสี่ยงครั้งใหญ่มหาศาลของบริษัทเอง รวมไปถึงความเสี่ยงของจีนเองด้วย เนื่องจากเทคโนโลยีหลายๆ อย่างยังอยู่ในมือของสหรัฐฯ และรวมไปถึงเรื่องของ Supply Chain ชิ้นส่วนและอุปกรณ์ต่างๆ ที่หาของทดแทนอาจมีประสิทธิภาพไม่เท่ากับบริษัทในสหรัฐฯ ผลิต ขณะเดียวกันบริษัทอื่นๆ นอกสหรัฐฯ ก็อาจต้องทำตามคำสั่งที่ออกมา ซึ่งความยากลำบากของบริษัทแบบแท้จริงจะอยู่ในช่วง 1 ปีหลังจากนี้
ทางที่ 2 กรณีนี้ Huawei อาจต้องจบแบบกรณีของ ZTE ที่ท้ายที่สุดต้องจ่ายค่าปรับ ยอมความ รวมไปถึงเปลี่ยนแปลงด้านการบริหาร จึงทำให้บริษัทต่างๆ ในสหรัฐฯ กลับมามีสัมพันธ์ได้แบบเดิม แต่อย่างไรก็ดีผู้ก่อตั้งของ Huawei นั้นได้กล่าวว่าไม่ยอมที่จะเป็นแบบ ZTE โดยเด็ดขาด
สำหรับเรื่องของกรณี Google อาจไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะว่าปัจจุบันโทรศัพท์มือถือที่ขายในประเทศจีนก็ไม่มีบริการต่างๆ ของ Google อยู่แล้ว และเรื่องนี้อาจทำให้ Huawei อาจแยก Android ซึ่งเป็นซอฟท์แวร์ประเภท Open Source ออกมาได้ เหมือนกับที่ Amazon หรือแม้แต่ Xiaomi ทำอยู่
อย่างไรก็ดีเรื่องนี้ต้องรอดูว่ารัฐบาลจีนจะจัดการเรื่องนี้ได้อย่างไร แต่ท้ายที่สุดเรื่องนี้ต้องอยู่ในโต๊ะการเจรจาการค้าครั้งต่อไป เนื่องจาก Huawei มีขนาดบริษัทใหญ่กว่า ZTE มาก ผลกระทบนั้นใหญ่มหาศาลกว่ามาก ขณะเดียวกันเรื่องนี้ก็กระทบกับบริษัทในสหรัฐฯ เนื่องจากเป็น Supply Chain รายสำคัญด้วย
แต่สิ่งหนึ่งที่เรารู้แล้วในวันนี้คือสงครามเย็นเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐฯ และจีนได้เปิดศึกอย่างเป็นทางการแล้ว
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก